ที่ประยุทธ์พูดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ต้องว่าไปตามเพลง
(รัฐบาลมีขั้นตอนอยู่แล้ว) แต่ตนให้ความสนใจเรื่องปากท้องของประชาชนก่อน
เป็นคำพูดเก๋ไก๋ในสภาวะเศรษฐกิจกัดกร่อนไปถึงระดับชาวบ้านที่ทำมาหากินเดือนชนเดือน
ขณะที่รัฐบาล คสช.๒ ยังไม่มีแผนงานที่เป็นรูปร่างจริงจังในการแก้ปัญหาปากแห้งท้องกิ่วของประชาชนนอกจากหลักการลอยๆ
(หลายอย่างลอกเขามา) ระดับหัวกะทิวงการธุรกิจไทยยังให้ความหวังกับรัฐบาลใหม่ “ตลาดเงินทุนไทยยังเป็นสวรรค์อันปลอดโปร่งอยู่”
อริยา ติรณะประกิจ รองประธานบริหารของสมาคมตลาดตราสารบอกกับบางกอกโพสต์ว่า
ระดับความน่าเชื่อถือของรัฐบาลไทยในทางเศรษฐกิจ (Sovereign Credit
Rating) ยังเข้มแข็งอยู่ เพราะว่า “รัฐบาลใหม่จะเริ่มมาตรการกระตุ้นในไม่ช้า”
ปะเหมาะพอดีโฆษกสำนักนายกฯ คนใหม่ ‘โปรเฟ็สเซ่อ’ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เพิ่งแถลงว่าคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบกับงบประมาณประจำปี
๒๕๖๓ แล้ว วงเงินรายจ่ายรวมทั้งสิ้น ๓.๒ ล้านล้านบาท มากกว่าปีที่แล้ว ๒
แสนล้านบาท
นอกจากรายการใช้จ่ายประจำ ๒.๓๙ ล้านล้านบาท
ที่เป็นพวกเงินเดือนข้าราชการ ทหาร ตำรวจ เงินเดือนวุฒิสมาชิก ซื้อรถถัง เรือดำน้ำ
งบกลาง ฯลฯ อะไรงี้แล้ว ก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งไปอยู่ที่การลงทุน ๖.๕๕ แสนล้านบาท
ซึ่งดูไม่มากนัก แต่ก็มากกว่าเมื่อปีที่แล้ว
เนื่องเพราะ
คสช.ทุ่มจ่ายไปเมื่อปีกลายปีก่อนอักโขเกินขีดจำกัดการควักจากคลังอยู่บ้าง มีการกู้ยืมเพิ่ม
ฉะนั้นจึงต้องตั้งงบฯ ใช้หนี้เงินกู้ไว้ไม่น้อยในปีนี้ “ชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน ๘.๙๑ หมื่นล้านบาท และเป็นรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง ๖.๒๗ หมื่นล้านบาท”
ประการสำคัญรัฐบาล คสช.๒ จำต้อง “จัดทำงบประมาณขาดดุลที่
๔.๖๙ แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๖๒ ที่ ๑.๙ หมื่นล้านบาท” ถึงกระนั้นทั่นโปรเฟ็สเซ่อโฆษกอ้างว่า “แม้จะทำให้แนวโน้มหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังอยู่ในกรอบความยั่งยืนทางการคลัง
คือไม่เกินร้อยละ ๖๐ ของจีดีพี
โดยปัจจุบันหนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ร้อยละ ๔๒” ยังสร้างหนี้เพิ่มได้อีก ๑๘%
ละว่างั้น ทั้งนี้เชื่อว่าปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวระหว่าง ๓.๐
ถึง ๔.๐ ซึ่งเป็นช่องกว้างมาก ขนาดปีที่แล้วว่าจะโต ๓.๔ ยังไม่ได้ ป่านนี้มิแค่
๓.๐ เท่านั้น
(https://www.voicetv.co.th/read/u89iZpE-0 และ https://www.bangkokpost.com/business/1725739/edgy-exporters-brace-for-damage)
เหล่านั้นเป็นการฝันเฟื่องของ คสช. ในเมื่อผ่านมา
๕ ปี ยังไม่เห็นแก้ปัญหาอะไรได้ ผลงานเด็ดๆ มีแต่ดูด ส.ส.อย่าง ‘อี๊เอ๋’ ปารีณา ไกรคุปต์ ที่ปล่อยเละเทะเที่ยวจาบจ้วงฝ่ายค้าน
พอจะโดนพรรคอนาคตใหม่ฟ้องประยุทธ์ก็ต้องมาอุ้ม จัดแจงแก้ตัวให้ “บางที
น.ส.ปารีณาก็ไม่ได้เขียนเอง”
หรืออย่าง ธรรมนัส พรหมเผ่า
ผู้อื้อฉาวจากคดียาเสพติดออสเตรเลีย ได้เป็นรัฐมนตรีช่วยเกษตรฯ กำลังจะขอเบิกงบฯ
กลางเพิ่มอีก ๕ พันล้านบาทรวมกับของเดิมตามงบประมาณปี ๖๓ ที่ได้แล้ว ๕
พันล้านไม่พอ บอกว่าจะเอาไปทำธนาคารน้ำ
นั่นถ้า ครม.อนุมัติก็เท่ากับจ่ายเช็คล่วงหน้าโดยยังไม่รู้ว่าจะทำอีท่าไหน
ในเมื่อเรื่องธนาคารน้ำนี่พูดกันมาแต่ก่อนยุคเผด็จการ สะดุดหยุดชะงักจากทหารยึดอำนาจ
นี่ถ้าอีกสองปีข้างหน้าธรรมนัสคว้าน้ำเหลวก็เท่ากับถลุงทิ้งหมื่นล้าน
ไหนจะปัญหาซึ่งหน้าเรื่องการส่งออกหดลงต่อเนื่องตลอด
๕ ปี และ ๖ เดือนแรกของปีนี้ลดลงไปอีก ๒.๙% กัญญภัค
ตันติพิพัฒน์พงศ์ ประธานสภาผู้ส่งออกสินค้าฯ หวั่นว่าจะหดต่ออีก ๑% ถ้ายังไม่มีการแก้ไข โดยเฉพาะในเรื่องค่าเงินบาท
เป็นที่รู้กันว่าค่าเงินบาทแข็งเกินควรเป็นผลร้ายกับการส่งออกอยู่แล้ว
มามีสงครามเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐกับจีน
ที่ประธานาธิบดีทรั้มพ์เพิ่งประกาศกำแพงภาษีต่อสินค้าจีนอีก ๑๐% มูลค่ากว่า ๓๐๐ ล้านดอลลาร์ แล้วจีนโต้ตอบด้วยมาตรการลดค่าเงินหยวน
รัฐบาลจีนปล่อยให้เงินสกุล ‘เร็นมินไบ’ ของตนค่าหล่นลงไปถึง ๗
ทำให้ตลาดหุ้นอเมริกันปั่นป่วน มูลค่าซื้อขายลดฮวบฮาบ
พวกนักธุรกิจเงินทุนไทยวิตกกันใหญ่ว่าจะกระทบการส่งออกและค่าเงินบาทไทยด้วยแน่ๆ “จะทำให้สินค้าส่งออกของเราราคาสูงขึ้นอีก
๑๐%” กัญญภัคเผย
ด้านการท่องเที่ยวที่เหลือแต่จีน
ฝรั่งหนีมาหลายปีแล้ว ปีนี้จีนก็เริ่มหายไปด้วย เมื่อค่าเงินหยวนลดเงินบาทสูง
นักท่องเที่ยวจีนก็จะเบนหน้าไปที่อื่น วิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยว
หรือแอ็ตต้า อยากให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาเงินบาทแข็งไวๆ ไม่งั้นแย่
ช่วงนี้ค่าเงินบาทไม่แกว่งมากนัก แต่ก็ปักหลักแข็งทื่ออยู่ที่ราวๆ
๓๐.๗๕ บาทต่อดอลลาร์ สมาคมท่องเที่ยวขอให้รัฐช่วยนวดให้นิ่มผ่อนไปให้ถึง ๓๑
บาทก็จะเป็นหลักประกันว่า นักท่องเที่ยวจีนจะยังเลือกมาไทยต่อไป