วันศุกร์, สิงหาคม 23, 2562
"Gossipสาสุข" ตรวจสอบแล้ว งบ “บัตรทอง” หายจริง 676 ล้านบาท ไม่ใช่ Fake News "นฤมล" ว่าไง ?
ตรวจสอบแล้ว
งบ “บัตรทอง” หายจริง 676 ล้านบาท
ไม่ใช่ Fake News
•
•
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกรัฐบาล ถือโอกาสชี้แจงหลังมีข่าวว่า รัฐบาลตัดงบโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไป 676 ล้านบาท เพื่อเอาเงินไปสนับสนุนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแทน ด้วยการบอกว่าเป็น “Fake News”
•
เพราะในรายละเอียดจริงๆ คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณกองทุน “บัตรทอง” ของปี 2563 ไป 1.91 แสนล้านบาท โดยเพิ่มกว่าปี 2562 ไปมากกว่า 6,500 ล้านบาท
•
อย่างไรก็ตาม ฟากฝั่งกลุ่ม “คนรักหลักประกันสุขภาพ” ผู้เปิดประเด็นนี้อย่าง นิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ออกมายืนยันว่ามีการ “ตัดจริง” โดยเป็นส่วนของงบในกองทุนนอกเหมาจ่ายรายหัว เช่น “กองทุนโรคไต” ที่เสนอก่อนเข้า ครม. ที่ 9,405 ล้านบาท
•
แต่เมื่อเข้าที่ประชุม ครม.เมื่อวันที่ 12 ก.พ. ที่ผ่านมา สำนักงบประมาณกลับเสนองบที่หายไป 300 ล้านบาท หรือกองทุนดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียง เงินหายไป 49.87 ล้านบาท จากที่ตกลงกันไว้เดิมที่ 1,025 ล้านบาท กลับเหลือเพียง 975 ล้านบาท
•
สำทับด้วยข่าว “วงใน” ว่า นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุขขณะนั้น ได้พยายามต่อรองกับ ครม.แล้วว่าให้ยึดตัวเลขเดิม และขู่จะถอนวาระนี้ออกจาก ครม.หาก ครม.ดึงดันตัดงบตามที่สำนักงบประมาณเสนอมา
•
แต่เรื่องใน ครม.ก็จบลงที่อนุมัติตัวเลขตามที่เสนอเข้า ครม.ไป แต่ยังเปิดว่า หลังบ้านให้ สปสช.และสำนักงบเจรจาต่อรองกัน
•
ซึ่งสำนักงบก็ยังคงยืนยันตัวเลขที่จะตัดงบนอกงบเหมาจ่ายรายหัวลงไป 676 ล้านบาท แต่ สปสช.นำโดยประธานบอร์ดสปสช.ขณะนั้น คือ หมอปิยะสกลไม่ยอม กระทั่งเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา บอร์ดสปสช.ก็ออกประกาศหลักเกณฑ์ใช้งบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปี 2563 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ ครม.อนุมัติ
•
กระทั่งมีรัฐบาลใหม่ สำนักงบประมาณ ซึ่งยังไม่ยอมให้ตามที่ ครม.อนุมัติไปแล้ว ก็ถูกภาคประชาชนมองว่า อาศัยจังหวะที่เปลี่ยนรัฐบาลใหม่ แม้จะมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีหน้าเดิมหลายคน ยืนยันจะตัดงบนอกเหมาจ่ายรายหัวลงให้ได้
•
นิมิตร์ เทียนอุดม พร้อมกับเครือข่ายผู้ป่วย จึงตั้งโต๊ะแถลงข่าวหน้างานรับฟังความเห็นสิทธิบัตรทองประจำปี 62 เพียง 1 วัน หลัง รมว.อนุทิน ประกาศว่า ระบบบัตรทองจะยังคงอยู่ต่อไป และไม่มีร่วมจ่ายแน่นอน
•
เดือดร้อนถึง นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสปสช. ที่ต้องออกมายืนยันว่างบบัตรทอง ไม่ได้ถูกตัด หรือถูกลดลง แต่ขีดเส้นใต้ไว้ว่า ยังอยู่ในกรอบที่ให้ไว้คือ 2 แสนล้านบาท
•
ส่วน 676 ล้านบาทที่หายไปนั้น ยังไม่มี “ข้อสรุป” และเชื่อว่ายังต่อรองได้ เพราะยังต้องใช้โอกาสนี้ “ดีเฟนด์” งบประมาณ ก่อนเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
•
เท่ากับหมอศักดิ์ชัย ยอมรับว่าเงินหายไปจริง..
•
พร้อมกับยืนยันว่า สปสช.พร้อมจะยืนยันหลักการเดิม คือไม่ให้มีการตัด 676 ล้านบาทดังกล่าวออกไป รวมถึงได้รายงานให้ อนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข ในฐานะประธานบอร์ดสปสช. รับทราบ เพื่อไป “ไฟท์” ต่อด้วย
•
เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่อง “เงินหาย” จึงไม่ใช่ “Fake News” แต่มีเงินที่ถูกปรับลดลงไปจริง จากที่เสนอขอไปเบื้องต้น เพราะเงินในกองทุนเฉพาะหายไป ทำให้เงินกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ควรจะได้ในปี 2563 หายไปด้วย
•
เรื่องนี้ จึงเท่ากับว่าโฆษกรัฐบาล “ไม่รู้เรื่อง” เพียงพอ โดยนำงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวปี 2562 มาเทียบ แทนที่จะเอางบประมาณเหมาจ่ายรายหัวปี 2563 ที่คณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ มาเปรียบเทียบ
•
เป็นการเถียง “คนละเรื่องเดียวกัน”
•
นั่นทำให้บรรดาองคาพยพที่เกี่ยวข้องอย่าง หมอศักดิ์ชัย เลขาธิการสปสช. ต้อง “พยักหน้า” เออออตามไปด้วย ว่าไม่ได้มีการปรับลด
•
กลายเป็นว่า สปสช.ยินดีให้รัฐบาล “ยืมมือ” ดิสเครดิตภาคประชาชน เพื่อยอมรับว่าเรื่องดังกล่าวเป็น Fake News ทั้งที่ไม่ใช่..
•
อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้สัมพันธ์ขาดสะบั้นกับบรรดาเอ็นจีโอ ที่ต้องยอมรับว่ามีส่วนสำคัญในการ “อุ้ม” สปสช.ไว้ ก็จำเป็นต้องปลอบว่า เงินที่หายไป 676 ล้านบาทนั้น ยังสามารถขอคืนมาได้ ไม่ได้หายไปเสียทีเดียว
•
ส่วนการที่นิมิตร์ บอกว่า เงินหายไป 676 ล้านบาท โดยไปงอกในงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อแจกให้คนไปเที่ยวนั้น ก็เข้าใจว่าเป็นเรื่องของการ “ประชดประชัน” ทำนองว่า แจกเงินให้คนไปเที่ยวได้ แต่งบรักษาผู้ป่วยกลับจะตัดลง
•
ว่ากันตามจริง ที่ผ่านมา งบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินั้น เพิ่มขึ้นแทบทุกปี จากจำนวนประชากร “คนป่วย” ที่เพิ่มขึ้น การขยาย “สิทธิประโยชน์” ให้มากขึ้น ทั้งการรักษา ทั้งยาใหม่ๆ รวมถึงการปรับงบกองทุนให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อ
•
ส่วนจะเพิ่มขึ้นมากน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับทั้งสปสช. บอร์ดสปสช. รวมถึง รมว.สาธารณสุขขณะนั้นแอคทีฟขนาดไหน รวมถึงรัฐบาลมีเงินเหลือในแต่ละปีมากน้อยเพียงใด
•
ที่ผ่านมา “งบบัตรทอง” นั้น แม้จะเพิ่มขึ้นทุกปี จนล่าสุดทะลุไปถึงเกือบ 2 แสนล้านแล้วนั้น ก็รู้กันดีทั้งในและนอกวงการสาธารณสุขว่า ถึงอย่างไรเงินที่ลงมาก็ไม่พอ
•
เพราะจำนวนผู้ที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง โรคค่าใช้จ่ายสูง บ้านเรา กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อประเทศเข้าใกล้สังคมผู้สูงโดยสมบูรณ์ คือมีผู้สูงอายุเกิน 60 ปี มากกว่า 20% และเกิน 65 มากกว่า 14% ในอีก 5 ปีข้างหน้า รวมถึงสถานะประเทศที่น่ากังวลอย่างมาก คือ แก่ก่อนรวย ดังที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กระบุว่าไทยจะกลายเป็นประเทศใหญ่ที่แก่ก่อนจะมีโอกาสร่ำรวย คือมีปัญหาแบบเดียวกับประเทศที่พัฒนาแล้ว แต่ยังเป็นประเทศกำลังพัฒนาอยู่
•
ด้วยเหตุนี้ การเพิ่มขึ้นในแต่ละปี จึงไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่ควรนำมาอวดอ้างเป็น “บุญคุณ” เพราะตราบใดที่ยังต้องการรักษาระบบนี้ไว้ ถึงอย่างไร ก็ต้อง “เคาะ” งบประมาณให้เพิ่มขึ้นทุกปีอยู่ดี
•
ส่วนจะเพิ่มมาก เพิ่มน้อย ก็ต้องว่ากันด้วยเนื้อหาสาระ ทั้งในแง่ “แนวคิด” ว่าผู้ที่ใช้ระบบนี้ ยังขาดอะไร มีอะไรต้องพัฒนาอีกบ้าง หรือมีสิทธิประโยชน์อะไรที่ควรเพิ่ม
•
และการบริหารจัดการเงินกองทุน ที่ สปสช. ต้องรับผิดชอบไปเต็มๆ นั้น ทำได้ดีพอหรือไม่
•
แต่วิสัยทัศน์ที่ต้องการมากกว่าก็คือ จะทำอย่างไร ให้ระบบนี้เกิดความยั่งยืน มีเงินเติมสม่ำเสมอ จะได้ไม่ต้องบ่นกันทุกปีว่า “ขาดเงิน” หรือ “เงินไม่พอ” หรือจะทำให้ประเทศนี้ “ล้มละลาย”
•
ส่วนหลังจากนี้ 676 ล้านบาท จะได้รับการทวงคืนมาหรือไม่หรือ 1.91 แสนล้านบาท จะถูกปรับลดอีกหรือไม่ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร แล้วสิ่งที่ สปสช.รับปาก จะสามารถทำได้จริงไหม
•
สุดท้าย หวยอาจออกข้างไหนก็ได้ทั้งนั้น...
#งบเหมาจ่ายรายหัว #กองทุนบัตรทอง # FakeNews
Gossipสาสุข
(https://www.facebook.com/gossipsasook/photos/a.347034632506292/509239779619109/?type=3&theater)