วันเสาร์, สิงหาคม 17, 2562

นึกว่าอูฟู แจกอีกแสนล้าน ที่แท้หมกเม็ดดึงงบฯ หลักประกันสุขภาพมาใช้


นึกว่าอูฟู เห็นประกาศแจกอีกแสนล้าน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ระหว่างที่ยังรอเงิน (ภาษีชาวบ้าน) ที่หว่านไปแล้วตลอด ๕ ปี ยุค คสช.๑ หลายแสนล้านผลิดอกออกผล ไม่รู้เมื่อไหร่เพราะได้แต่รอให้ฝนเทลงมา แม้แต่จะพรวนดินไว้ก็ไม่ได้ทำ

เมื่อวาน (๑๖ ส.ค.) อุตตม สาวนายน รมว.คลัง เปิด โปรประกันด้าคุยเรื่องแพ็คเกจนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช.๒ ว่าเงินที่จะใช้ในโครงการนี้มาจาก งบฯ กลางและเงินของ “หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่จะออกมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร”

แต่ในส่วนอื่นๆ ที่ รมว.ไม่ได้บอก เช่นด้านประกันสุขภาพและกองทุนเฉพาะโรค ที่ถูก รมว.คลังดึงเอาเงินไปใช้ในโครงการอื่น เช่น แจกนักท่องเที่ยวคนละ ๑,๕๐๐ บาท จำนวน ๑๐ ล้านคน เป็นงบประมาณทั้งสิ้นเพื่อการนี้ ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท

หรือแจกผู้ถือบัตรสวัสดิการ ในส่วนของบัตรคนจนเพิ่มพิเศษให้สองเดือนรวม ๑ พันบาท สำหรับผู้มีสิทธิ ๑๔.๖ ล้านคน รวมวงเงิน ๑๔,๖๐๐ ล้านบาท กับแจกผู้สูงอายุ ๕ ล้านคนๆ ละพันอีก ๕ พันล้านบาท ด้านค่าเลี้ยงดูเด็ก ๘ แสนรายๆ ละ ๖๐๐ บาท เป็นงบกว่า ๔๘๐ ล้าน


เหล่านั้นนายอุตตมหมกเม็ดที่มาของเงินว่าจากงบประมาณของ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งไม่เป็นความจริงทั้งหมด

เพิ่งได้รู้กันต่อเมื่อ เครือข่ายผู้ป่วยเรื้อรัง ประกอบด้วยเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย เครือข่ายผู้ป่วยโรคไต และกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ “เปิดเวทีรับฟังความเห็นทั่วไปจากผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ในระบบหลักประกันสุขภาพ”

ตัวแทนเครือข่ายฯ เปิดโปงว่า “งบประมาณที่ผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดที่แล้ว ถูกสำนักงบประมาณงุบงิบตัดงบ ทั้งที่ตกลงกันแล้วก่อนเข้า ครม.โดยตัดงบนอกเหมาจ่ายรายหัว หรืองบกองทุนเฉพาะโรค...แล้วยังต่อรองที่จะตัดเพิ่มอีก ๖๕๐ ล้านบาท”

นิมิตร์ เทียนอุดม จากกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพร้องว่า “การตัดงบประมาณในกองทุนเฉพาะโรคแบบนี้ จะส่งผลอย่างมากต่อการเข้าถึงการรักษาและยาจำเป็นของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง แต่ประเทศนี้กำลังรีดเอาเงินที่จำเป็นไปใช้จ่ายในส่วนอื่นที่ไม่จำเป็น เช่น แจกเงินให้เที่ยว เป็นต้น”

ทางด้าน ยุพดี ศิริสินสุข กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติแจงว่า งบกองทุนเฉพาะโรคมีความสำคัญมากเนื่องจากใช้ “ดูแลกลุ่มประชาชนที่เปราะบางที่สุด” ซึ่งจากการเจรจาต่อรองกับรัฐบาลที่แล้ว รวมทั้งสำนักงบประมาณ และ สปสช.

มีการตั้งงบประมาณส่วนนี้ไว้กว่า ๑๖,๘๐๐ ล้านบาท “แต่กลับถูกตัดงบไปกว่า ๖๘๐ ล้านบาท ซึ่งกรรมก็มาตกกับผู้ป่วย” โดยเฉพาะในส่วนของ “กรณีผู้ติดเชื้อเอชไอวี มีคนต้องรับยากว่า ๓ แสนคน และเริ่มมารักษาใหม่ปีละกว่า ๓ หมื่นคน หากงบลดลงคนเหล่านี้จะถูกตัดโอกาสในการมีชีวิตต่อ”

อีกทั้งในส่วนของผู้ป่วยโรคไต ธนพลธ์ ดอกแก้ว ตัวแทนเครือข่ายเผยว่า “งบกองทุนไตถูกตัดไปกว่า ๓๐๐ล้านบาท” ทั้งที่ “ขณะนี้พบว่าจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น” แต่สิทธิ์ประโยชน์กลับถูกตัด “สิ่งจำเป็นเช่นเครื่องฟอกไตที่บ้าน หรือยากดภูมิสำหรับผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ” จะขาดแคลน


วิธีการบริหารงานแบบลูบหน้าปะจมูกและสุกเอาเผากินแบบนี้ ได้ทำกันมาแล้วตลอด ๕ ปี เสร็จแล้วก็เที่ยวได้โทษโน่นโทษนี่ โทษรัฐบาลที่แล้ว โทษประชาชนเรื่อยมาและกำลังจะเรื่อยไป ถือว่ามีอำนาจบาตรใหญ่ทำอะไรตามแต่ใจอย่างผิดๆ บ่อยๆ

ดังเช่นประเด็นการอ่านคำถวายสัตย์ขาดตก ซึ่งไม่น่าจะเป็นด้วยเหตุอื่นนอกจากจงใจ ละข้อความที่ว่าต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ทำตนเป็นผู้มีอำนาจล้นฟ้าตัดออกเสียเองแล้วไม่ยอมรับความผิด ดึงดันไปน้ำขุ่นๆ ทำให้ฝ่ายค้านไม่ลดละ
 
ล่าสุด ๗ พรรคฝ่ายค้านใช้สิทธิตามมาตรา ๑๕๒ เข้าชื่อกัน ๒๑๔ คนขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไปตอบข้อสงสัยที่ว่าไฉนจึงไม่ยอมกล่าวคำถวายสัตย์ให้ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ

แม้กระทั่งประธานสภาฯ ก็ไม่สามารถเบี่ยงเลี่ยงให้ได้ ชวน หลีกภัย ให้ความเห็นว่า พล.องประยุทธ์ควรที่จะต้องไปตอบกระทู้นี้ “ถ้าไม่ตอบก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย มาตรา ๑๕๐ คือแจ้งมา เหตุที่ไม่ตอบตามที่กฏหมายเขียนไว้”


จะถือดีว่ายังมีอำนาจ จำบังหัวหน้า คสช.อยู่แล้ว จะทำอะไรหรือไม่ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบต่อไป ก็คงต้องไปถึงจุดที่ต้องยึดอำนาจ (ตัวเอง) อีกหน แล้วคราวนี้ควรแก่การจับตาดูกันสิว่า จะไปลื่นอย่างครั้งก่อนอีกไหม