นึกว่าอูฟู เห็นประกาศแจกอีกแสนล้าน
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ระหว่างที่ยังรอเงิน (ภาษีชาวบ้าน) ที่หว่านไปแล้วตลอด
๕ ปี ยุค คสช.๑ หลายแสนล้านผลิดอกออกผล ‘ไม่รู้เมื่อไหร่’
เพราะได้แต่รอให้ฝนเทลงมา แม้แต่จะพรวนดินไว้ก็ไม่ได้ทำ
เมื่อวาน (๑๖ ส.ค.) อุตตม สาวนายน รมว.คลัง
เปิด ‘โปรประกันด้า’ คุยเรื่องแพ็คเกจนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล
คสช.๒ ว่าเงินที่จะใช้ในโครงการนี้มาจาก ‘งบฯ กลาง’ และเงินของ “หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่จะออกมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร”
แต่ในส่วนอื่นๆ ที่ รมว.ไม่ได้บอก เช่นด้านประกันสุขภาพและกองทุนเฉพาะโรค
ที่ถูก รมว.คลังดึงเอาเงินไปใช้ในโครงการอื่น เช่น แจกนักท่องเที่ยวคนละ ๑,๕๐๐ บาท
จำนวน ๑๐ ล้านคน เป็นงบประมาณทั้งสิ้นเพื่อการนี้ ๑๕,๐๐๐ ล้านบาท
หรือแจกผู้ถือบัตรสวัสดิการ ในส่วนของบัตรคนจนเพิ่มพิเศษให้สองเดือนรวม
๑ พันบาท สำหรับผู้มีสิทธิ ๑๔.๖ ล้านคน รวมวงเงิน ๑๔,๖๐๐ ล้านบาท กับแจกผู้สูงอายุ
๕ ล้านคนๆ ละพันอีก ๕ พันล้านบาท ด้านค่าเลี้ยงดูเด็ก ๘ แสนรายๆ ละ ๖๐๐ บาท เป็นงบกว่า
๔๘๐ ล้าน
เหล่านั้นนายอุตตมหมกเม็ดที่มาของเงินว่าจากงบประมาณของ
‘หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง’ ซึ่งไม่เป็นความจริงทั้งหมด
เพิ่งได้รู้กันต่อเมื่อ ‘เครือข่ายผู้ป่วยเรื้อรัง’
ประกอบด้วยเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย เครือข่ายผู้ป่วยโรคไต
และกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ “เปิดเวทีรับฟังความเห็นทั่วไปจากผู้ให้บริการและผู้รับบริการ
ในระบบหลักประกันสุขภาพ”
ตัวแทนเครือข่ายฯ เปิดโปงว่า “งบประมาณที่ผ่านคณะรัฐมนตรี
(ครม.) ชุดที่แล้ว ถูกสำนักงบประมาณงุบงิบตัดงบ ทั้งที่ตกลงกันแล้วก่อนเข้า ครม.โดยตัดงบนอกเหมาจ่ายรายหัว
หรืองบกองทุนเฉพาะโรค...แล้วยังต่อรองที่จะตัดเพิ่มอีก ๖๕๐ ล้านบาท”
นิมิตร์ เทียนอุดม จากกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพร้องว่า
“การตัดงบประมาณในกองทุนเฉพาะโรคแบบนี้ จะส่งผลอย่างมากต่อการเข้าถึงการรักษาและยาจำเป็นของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง
แต่ประเทศนี้กำลังรีดเอาเงินที่จำเป็นไปใช้จ่ายในส่วนอื่นที่ไม่จำเป็น เช่น
แจกเงินให้เที่ยว เป็นต้น”
ทางด้าน ยุพดี ศิริสินสุข
กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติแจงว่า งบกองทุนเฉพาะโรคมีความสำคัญมากเนื่องจากใช้
“ดูแลกลุ่มประชาชนที่เปราะบางที่สุด” ซึ่งจากการเจรจาต่อรองกับรัฐบาลที่แล้ว
รวมทั้งสำนักงบประมาณ และ สปสช.
มีการตั้งงบประมาณส่วนนี้ไว้กว่า ๑๖,๘๐๐ ล้านบาท
“แต่กลับถูกตัดงบไปกว่า ๖๘๐ ล้านบาท ซึ่งกรรมก็มาตกกับผู้ป่วย” โดยเฉพาะในส่วนของ “กรณีผู้ติดเชื้อเอชไอวี
มีคนต้องรับยากว่า ๓ แสนคน และเริ่มมารักษาใหม่ปีละกว่า ๓ หมื่นคน หากงบลดลงคนเหล่านี้จะถูกตัดโอกาสในการมีชีวิตต่อ”
อีกทั้งในส่วนของผู้ป่วยโรคไต ธนพลธ์
ดอกแก้ว ตัวแทนเครือข่ายเผยว่า “งบกองทุนไตถูกตัดไปกว่า ๓๐๐ล้านบาท” ทั้งที่ “ขณะนี้พบว่าจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น”
แต่สิทธิ์ประโยชน์กลับถูกตัด “สิ่งจำเป็นเช่นเครื่องฟอกไตที่บ้าน
หรือยากดภูมิสำหรับผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ” จะขาดแคลน
วิธีการบริหารงานแบบลูบหน้าปะจมูกและสุกเอาเผากินแบบนี้
ได้ทำกันมาแล้วตลอด ๕ ปี เสร็จแล้วก็เที่ยวได้โทษโน่นโทษนี่ โทษรัฐบาลที่แล้ว
โทษประชาชนเรื่อยมาและกำลังจะเรื่อยไป
ถือว่ามีอำนาจบาตรใหญ่ทำอะไรตามแต่ใจอย่างผิดๆ บ่อยๆ
ดังเช่นประเด็นการอ่านคำถวายสัตย์ขาดตก
ซึ่งไม่น่าจะเป็นด้วยเหตุอื่นนอกจากจงใจ ละข้อความที่ว่าต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ทำตนเป็นผู้มีอำนาจล้นฟ้าตัดออกเสียเองแล้วไม่ยอมรับความผิด
ดึงดันไปน้ำขุ่นๆ ทำให้ฝ่ายค้านไม่ลดละ
ล่าสุด ๗ พรรคฝ่ายค้านใช้สิทธิตามมาตรา ๑๕๒
เข้าชื่อกัน ๒๑๔ คนขอเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา
ไปตอบข้อสงสัยที่ว่าไฉนจึงไม่ยอมกล่าวคำถวายสัตย์ให้ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ
แม้กระทั่งประธานสภาฯ ก็ไม่สามารถเบี่ยงเลี่ยงให้ได้
ชวน หลีกภัย ให้ความเห็นว่า พล.องประยุทธ์ควรที่จะต้องไปตอบกระทู้นี้ “ถ้าไม่ตอบก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย มาตรา ๑๕๐ คือแจ้งมา
เหตุที่ไม่ตอบตามที่กฏหมายเขียนไว้”
จะถือดีว่ายังมีอำนาจ ‘จำบัง’ หัวหน้า คสช.อยู่แล้ว จะทำอะไรหรือไม่ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบต่อไป
ก็คงต้องไปถึงจุดที่ต้องยึดอำนาจ (ตัวเอง) อีกหน แล้วคราวนี้ควรแก่การจับตาดูกันสิว่า
จะไปลื่นอย่างครั้งก่อนอีกไหม