‘เฟคนิวส์’
กับ ‘โปรปากันด้า’
มันห่างกันแค่เส้นยาแดง รัฐบาลเผด็จการใช้โปรปากันด้าเพื่อให้คนหลงเชื่อโดยไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกกดขี่อยู่เป็นประจำ
เช่นเดียวกับเฟคนิวส์ที่มาในรูปแบบของการประชาสัมพันธ์ผลงาน
ที่ยังไม่เกิดแต่อ้างว่าจะเกิด
ทั่น ‘โปรเฟ็สเซ่อ’
โฆษกสำนัก คสช.๒ ปล่อยข่าว “เอกชนสหรัฐ
ฯ ขานรับ EEC” และ “เชื่อว่า วังจันทร์วัลเลย์ (ระยอง) มีความสามารถที่จะพัฒนาเช่นเดียวกับ
Silicon Valley ในสหรัฐ ฯ” ศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์
เพิ่งแจ้ง
เรื่องของเรื่องมาจากโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
หรือที่ คสช.ภายใต้หน้ากาก ‘ไอทู้บ’
เรียกว่า ‘อีอีซี’ ทำพีอาร์เชื้อเชิญใครต่อใครมาดูเผื่อจะอยากลงทุน
จีนมาแล้ว ญี่ปุ่นก็มาแล้วช่วงรัฐบาลก่อน อเมริกันเพิ่งมาในนาม ‘สภาธุรกิจสหรัฐ-อาเซียน’
ย่อมมีตัวแทนบริษัทต่างๆ ที่เป็นสมาชิก
เช่น ซิสโก อะโกดา แอนด์จี เชฟร่อน เบย์เออร์ และเฟ็ดเด็กซ์ เป็นอาทิอยู่ในสังกัด “โดยก่อนเดินทางกลับประธาน
USABC ได้กล่าวกับนายทรงศักดิ์ สายเชื้อ
ที่ปรึกษาสำนัก EEC” ว่าจะกลับมาดูใหม่อีก
เพื่อ “ศึกษาข้อมูลเชิงลึกและดูโครงสร้างอื่นๆ
เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจในการจะเข้ามาลงทุน”
โปรเฟ็สเซ่อโฆษกคุยให้สื่อไทยฟังด้วยว่า
อีอีซีเกิดขึ้นในจังหวะปะเหมาะที่เกิดสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ซึ่งหลายบริษัทกำลังมองหาลู่ทางรับมือ โดย “เริ่มพิจารณาย้ายฐานการผลิต
และ EEC เป็นหนึ่งในโครงการแนวหน้าที่นักลงทุนต่างประเทศให้ความสนใจ”
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท้ายสุดจะมาหรือไม่ ต้องรอดูผลต่อไป เช่นเดียวกับจีนและญี่ปุ่น
ฉะนั้นคำอ้างของโฆษกรัฐบาล คสช.เรื่องยอดขอรับการส่งเสริมลงทุนครึ่งปีแรก
๒๕๖๒ สูงถึง ๒.๓ แสนล้านบาท โดยไปอยู่ที่อีอีซีถึง ๕๑%
“มูลค่ารวม ๑๑๘,๐๕๐ ล้านบาท”
นั่นก็เป็นประมาณการเพราะยังไม่มีการลงทุนในรูปธรรม ยกเว้นกิจการอสังหาริมทรัพย์ของ
‘เจ้าสัว’
คำของโปรเฟ็สเซ่อจึงไม่ได้มีคุณค่ามากไปกว่า
การประชาสัมพันธ์ที่เฉียดเข้าไปในเขตแดนของโปรปากันด้า เฉกเช่นคำโฆษณาของณัฏฐพล
ทีปสุวรรณ ที่ว่าครอบครัวของเขาจะลงทุน ๑.๕ พันล้านบาทก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติสำหรับนักรักบี้ในไทย
รมว.ศึกษาฯ นำเอาแนวคิดโรงเรียนพิเศษไปใช้เป็นนโยบายทางการศึกษา
โดยจัดให้มีโรงเรียนสำหรับเด็กหัวกะทิ หรือ ‘อีลีทสกูล’
ขึ้นด้วย แม้จะเป็นแนวคิดคล้ายกับระบบการแยกนักเรียนเก่ง ‘gifted
and talented’ ไปไว้โรงเรียนเดียวกันในสหรัฐ
แต่การเปิดให้แย่งชิงกันเข้าโรงเรียนอีลีทด้วยการสอบคัดเลือกล้วนๆ
ก่อให้เกิดการแบ่งชั้นและเหลื่อมล้ำขึ้น ดังที่มีเสียงทักท้วง ขณะที่การคัดสรรเด็กในสหรัฐกระทำโดยครูและนักจิตวิทยา
เมื่อเห็นแววเด็กในโรงเรียนประถมจึงส่งไปวัดไอคิว หากเข้าข่ายเด็กจะถูกจัดย้ายไปยังโรงเรียนพิเศษ
อีหรอบเดียวกันกับนโยบายประกันรายได้จากข้าวของพรรคประชาธิปัตย์
ที่นำโครงการเก่าซึ่งไม่ประสบผลสำเร็จในอดีตมาใส่ตะกร้าล้างน้ำทำใหม่
ตัวเลขอาจต่างไป เช่น ข้าวเปลือกราคาประกัน ๑ หมื่นบาทต่อตัน ข้าวสารหอมมะลิที่ ๑
หมื่น ๕ พัน เป็นต้น
ทั้งโครงการโรงเรียนชนชั้นของกระทรวงศึกษาฯ
และนโยบายเก่าเอามาทำใหม่ของกระทรวงเกษตรฯ
ต่างก็เป็นการประชาสัมพันธ์ก่อนเริ่มโครงการ
ที่ยังมองไม่เห็นผลโดยเฉพาะถ้าอยู่บนพื้นฐานของการแบ่งแยก
และเคยมีประวัติความล้มเหลวมาแล้ว
ในเมื่อการแจกจ่ายแบบขอไปที
ไม่มีหลักประกันแท้จริงว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจ และยกระดับสติปัญญารวมหมู่ของประชากรได้ดังความหวังที่ตั้งไว้
นอกจากความรู้สึก ‘feel good’ พึงพอใจชั่วครั้งคราวแล้วละก็
จะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอย่างน่าละอายไม่ควรให้อภัย
ซ้ำไม่มีหลักประกันอันใดจะไม่เกิดเรื่องอัปยศอย่างเช่นที่เพิ่งเกิดในจังหวัดตรัง
จากโพสต์ของบัญชีทวิตเตอร์ ‘จับโป๊ะพลังประชารัฐ’
“วัดมอบทุนการศึกษากับเด็กในวันแม่ ๑,๐๐๐ บาท
แต่โรงเรียนมาหักเงินไป ๗๐๐ แล้วให้เด็กแค่ ๓๐๐ อ้างว่าเอาไปทำบุญทอดกฐิน”
เขาถามหา “รัฐมนตรีศึกษาธิการ
หายหัวไปไหนกันหมดคะ คะ คะ หรือมัวแต่คิดเรื่องเขียนโค้ดไม่ใช้คอมฯ
กับทำโรงเรียนอีลิท”