วันเสาร์, สิงหาคม 17, 2562

โวยรัฐบาลตัดงบบัตรทอง 680 ล้าน แต่กลับแจกเงินให้คนไปเที่ยว 1.5 หมื่นล้านได้





โวยรัฐบาลตัดงบบัตรทอง 680 ล้าน แต่กลับแจกเงินให้คนไปเที่ยว 1.5 หมื่นล้านได้


2019-08-1
hfocus


กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ และเครือข่ายผู้ป่วยโรคเรื้อรัง โวยรัฐบาลตัดงบกองทุนหลักประกันสุขภาพของประชาชน 680 ล้านบาท แต่กลับอนุมัติเอาเงินภาษีไปแจกให้คนเที่ยวกว่า 15,000 ล้านบาทได้ ข้องใจเป็นงบที่จำเป็นต่อสุขภาพประชาชนและผ่าน ครม.ชุดที่ผ่านมาแล้ว แต่ยังถูกตัดงบได้


วันนี้ 16 สิงหาคม 2562 โรงแรมเซนทราศูนย์ราชการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ กทม. ตัวแทนเครือข่ายผู้ป่วยเรื้อรัง ประกอบด้วยเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย เครือข่ายผู้ป่วยโรคไต และกลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ ได้แถลงข่าวหลังจากเข้าร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็นทั่วไปจากผู้ให้บริการและผู้รับบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

นายนิมิตร์ เทียนอุดม กลุ่มคนรักหลักประกันสุขภาพ กล่าวว่า ในพิธีเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นวานนี้ (15 ส.ค.62) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ยืนยันชัดเจนว่า ในสมัยที่ตนเป็นรัฐมนตรีจะไม่มีการล้มระบบ และไม่มีการร่วมจ่ายในระบบแน่นอน แต่ยังไม่ทันจะข้ามวันหลังจากที่ รมว.สาธารณสุขประกาศไม่ร่วมจ่าย ไม่ล้มระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ก็ได้รู้มาว่ากำลังมีปัญหาเรื่องงบประมาณที่ผ่าน ครม.ชุดที่แล้วที่อนุมัติตามที่สำนักงบประมาณเสนอ กลับถูกสำนักงบประมาณงุบงิบตัดงบ ทั้งที่ตกลงกันแล้วก่อนเข้า ครม. โดยตัดงบนอกเหมาจ่ายรายหัว หรืองบกองทุนเฉพาะโรค เช่น ค่าบริการผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงโดยเฉพาะผู้สูงอายุ กองทุนเอดส์ กองทุนโรคไต ซึ่งจะทำให้งบประมาณหายไปเกือบ 680 ล้านบาท และจะมีผลกระทบต่อการเข้าถึงยาและการรักษาของกลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรังแน่นอน

“รัฐบาลนี้ตัดงบที่ลงทุนเพื่อสุขภาพของประชาชนไป 680 ล้านบาท แต่กลับใช้จ่ายงบประมาณจากภาษีของประชาชนอย่างฟุ่มเฟือยไปกับการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการแจกเงินให้คนไปเที่ยวคนละ 1,500 บาท รวมกว่า 15,000 ล้านบาท และใช้งบกระตุ้นเศรษฐกิจไปกว่า 200,000 ล้านบาท คำถามคือนี่เป็นการจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมหรือไม่ นายอนุทิน ซึ่งเป็นทั้งรองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ไม่ทราบว่ารู้เรื่องนี้หรือไม่ ซึ่งการตัดงบประมาณในกองทุนเฉพาะโรคแบบนี้ จะส่งผลอย่างมากต่อการเข้าถึงการรักษา และยาจำเป็นของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง แต่ประเทศนี้กำลังรีดเอาเงินที่จำเป็นไปใช้จ่ายในส่วนอื่นที่ไม่จำเป็น เช่น แจกเงินให้เที่ยว เป็นต้น” นายนิมิตร์ กล่าว

นายนิมิตร์ กล่าวว่า งบประมาณที่ถูกตัดลดลง ส่งผลไปถึงค่าบริการผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ที่ สปสช.ต้องรับผิดชอบคนไทยทุกคนทุกสิทธิ กลับถูกตัดลดลงกว่า 50 ล้านบาท ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดูแลผู้ป่วย โดยเฉพาะในสังคมที่มีผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นและจำเป็นต้องได้รับการดูแลให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่รัฐบาลนี้กำลังจะทิ้งคนแก่เหล่านี้ไว้ข้างหลัง เรานัด รมว.อนุทินได้วันที่ 5 กันยายน 2562 แต่เราคิดว่าช้าไป ดังนั้น วันนี้ต้องขอส่งเสียงผ่านสื่อมวลชนไปยังรัฐมนตรีให้ดำเนินการเรื่องนี้ด้วย

นางยุพดี ศิริสินสุข กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า งบกองทุนเฉพาะเป็นงบประมาณสำคัญเพราะเป็นงบที่ดูแลกลุ่มประชาชนที่เปราะบางที่สุด ซึ่งรัฐบาลที่แล้วมีการเจรจาร่วมกันระหว่าง อดีต รมว.สาธารณสุข นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร สำนักงบประมาณ และ สปสช. เดิมมีการตกลงต่อรองงบก้อนนี้รวมทั้งหมด 16,800 กว่าล้านบาท แต่กลับถูกตัดงบไปกว่า 680 ล้านบาท ซึ่งกรรมก็มาตกกับผู้ป่วย

ด้านนายอภิวัฒน์ กวางแก้ว ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย กล่าวว่า รัฐบาลชุดที่แล้วก็ไม่ต่างจากรัฐบาลชุดนี้ เพราะผู้นำก็คนเดียวกัน ยิ่งเห็นตัวเลขงบประมาณที่รัฐบาลชุดนี้ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ยิ่งสะท้อนสะท้านใจ เพราะงบที่รัฐเอาไปแจก เอาไปกระตุ้น ล้วนเป็นไปตามที่นโยบายพรรคการเมืองหาเสียงไว้ แต่กลับมารีดเงินเอากับผู้ป่วย อย่างกรณีผู้ติดเชื้อเอชไอวี มีคนต้องรับยากว่า 300,000 คนและเริ่มมารักษาใหม่ปีละกว่า 30,000 คน หากงบลดลง คนเหล่านี้จะถูกตัดโอกาสในการมีชีวิตต่อ

นายธนพลธ์ ดอกแก้ว เครือข่ายผู้ป่วยโรคไต กล่าวว่า เพิ่งเห็นว่างบกองทุนไตถูกตัดไปกว่า 300 ล้านบาท ในขณะที่ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังมีความจำเป็นที่ต้องฟอกไตต่อเนื่อง และขณะนี้พบว่าจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้น แต่ขณะที่สิทธิประโยชน์ที่จะทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น เช่น เครื่องฟอกไตที่บ้าน หรือยากดภูมิสำหรับผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ รวมไปถึงค่าบริการการทำเส้นเลือดเพื่อเตรียมล้างไต หรือผู้ป่วยไตที่มีโรคร่วม ซึ่ง สปสช.อยู่ระหว่างพิจารณา แต่ถ้าถูกตัดงบประมาณ โอกาสที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ที่ว่าอาจจะหายไป

ด้านนายนิมิตร์ กล่าวย้ำว่า กลุ่มคนรักหลักประกันสุขจะมีการขอเข้าพบรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขในวันที่ 5 กันยายน 2562 เวลา 10.00 น. ซึ่งเราก็หวังว่าจะได้รับข่าวดีก่อนจะถึงวันนั้น