คงเพราะเหิมเกริมหมายตบตาทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง
แล้วไม่สำเร็จ เจอทีเด็ด ‘ปิยบุตร’ อนาคตใหม่ จับเท็จได้เสียก่อน การถวายสัตย์แบบขาดตกของ ‘ประยุทธ์’ กลบอย่างไรไม่หาย
พวกหัวหมู่ทะลวงของฝ่ายนักรัฐประหารจึงออกปฏิบัติการ
ผบ.ทบ.คนหนึ่งละที่เจาะจง ‘บิดเบือน’ โจมตีพรรคอนาคตใหม่อีกหน ถึงไม่เอ่ยชื่อก็ชัดแจ้งว่าตั้งใจฟัดโดยตรง
เสียแต่ว่าสิ่งที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ บอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์เป็นการ ‘มุสา’ หาเรื่องโดยไม่มีหลักความจริงหนุน
“กองทัพบกไทยกำลังสู้รบ ‘สงครามพันทาง’ อยู่กับศัตรูที่ใช้ ‘ข่าวเทียม’ เปลี่ยนคนหนุ่มสาวให้เป็นผู้ต่อต้านกองทัพและสถาบันกษัตริย์”
ทั้งๆ สิ่งที่ บิ๊กแดงลูกบิ๊กจ๊อด (นักรัฐประหารที่ยึดอำนาจแล้วรวยล้น จนพวกเมียๆ ตบตีแย่งสมบัติหน้าเชิงตะกอน)
พูดเหล่านั้นคือ ‘fake news’ ของแท้
การใช้อุปมาอุปมัยเปรียบเปรยไฉนช่างด้อยตรรกะ
ไม่สมกับที่เรียนจบสถาบันซึ่งผลิตผู้เผด็จการไทยเอาไว้หลายต่อหลายคน “มันเหมือนยุทธการไซเบอร์”
อภิรัชต์อ้าง “เมื่อผสมเข้ากับการลอบวางระเบิดเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เป็นดั่งฮายบริดวอร์แฟร์”
รอยเตอร์ขอให้ระบุตัวได้ไหมว่าใครก่อยุทธการ
ใครวางระเบิด อภิรัชต์ไม่ยอมตอบแต่ไพล่ไปชี้หน้า “พรรคการเมืองบางพรรคที่เพิ่งกำเนิดได้สองปี
มีแผนการณ์พุ่งตรงเข้าใส่คนที่อายุเพียง ๑๖ กับ ๑๗ พวกนี้พยายามให้ความรู้ด้วยข่าวเท็จ”
สิ่งหนึ่งที่ผู้อ่านซึ่งไม่ ‘สลิ่ม’ สามารถจับโกหกของอภิรัชต์ได้คาปากก็ตอนที่เขาบอกว่า
“กองทัพยังคงไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง และภายใต้การกำกับดูแลของเขาจะไม่มีการรัฐประหารเกิดขึ้น”
ข้อหลังนี่เป็นเรื่องต้องจ้องดูกันไปแบบตาไม่กระพริบ
ส่วนข้อแรกนั่น
สิ่งที่อภิรัชต์ถอดเครื่องแบบไปใส่สูทนั่งให้สัมภาษณ์รอยเตอร์
ฉากหลังมีแสงสะท้อนน่าเกรงขาม นั่นคือการพูดการเมือง การจ้วงจาบโจมตีพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลสืบทอดอำนาจ
คสช.ที่ตนเป็นฐานหนุนสำคัญด้วยกำลังพลและยุทโธปกรณ์
เฉพาะเรื่องวางระเบิดกลางกรุง ๕ จุดที่อภิรัชต์เอามาอ้าง
การสืบสอบหาคนร้ายของรัฐบาล คสช.๒ ที่ ผบ.ทบ.หนุน ก็ยังใช้วิธีเยี่ยงเผด็จการที่ไม่แยแสหลักสิทธิมนุษยชนสากล
และระเบียบนิติธรรมสากลอยู่เลย ดังศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนรายงานว่า
น้าสาวของผู้ต้องหา (นาม ลุกไอ) ว่าวางวัสดุคล้ายระเบิด
ถูกกลุ่มชายอ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบ “ไม่ยอมแจ้งชื่อ ยศและสังกัด
และไม่มีการแสดงหมายจับ หมายเรียก” นำตัวเธอไปทำการสอบสวน
แม้เจ้าตัวพยายามปฏิเสธก็ถูกกดดันบังคับให้จำยอม
พวกเขาพาเธอเดินทางด้วยรถที่ปิดบังป้ายทะเบียนไว้
ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งใกล้สถานีรถไฟสามเสน ทำการซักถามต่างๆ
เกี่ยวกับหลานชายตั้งแต่บ่ายสี่โมงถึงสี่ทุ่ม ดดยระหว่างการซักถามเธอขอไปเข้าห้องน้ำก็ไม่ได้รับอนุญาต
ก่อนปล่อยตัวเธอถูกบังคับให้เซ็นเอกสารซึ่งระบุว่าเธอไม่ได้ถุกบังคับนำตัวมา
และไม่ได้มีการข่มขู่ใดๆ ไม่เช่นนั้นจะไม่ปล่อยตัว แต่ครั้นเมื่อส่งเธอยังที่พัก
เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบเหล่านั้นบอกว่า อาจจะกลับไปนำตัวเธอไปซักถามเพิ่มเติมอีก
นั่นไม่ใช่วิธีการของรัฐบาลที่ยึดมั่นในหลักกฎหมายซึ่งชอบธรรม
มันเปื้อนปนไปด้วยวิธีการอย่างเผด็จการที่หลายคนกลับเห็นว่าเป็นเยี่ยงโจรป่าห้าร้อยไร้อารยธรรม
หรืออีกอย่างก็คือพวกมิจฉาชีพมาเฟีย มันชี้ให้เห็นต่อไปว่า
การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ถวายสัตย์ขาดตก น่าจะไม่ใช่ “ท่านไม่ได้มีเจตนา” อย่างที่ ธนกร วังบุญคงชนะ
รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐออกมาแก้ต่างให้ “พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันชัดเจนแล้วว่าจะแก้ไขทุกอย่างให้เรียบร้อย
ดังนั้นอยากให้ฝ่ายค้านจบเรื่องนี้ได้แล้ว”
ธนกรยังใช้วิชามาร ‘เสี้ยม’ ต่อไปด้วยว่า “ทางที่ดีพรรคร่วมฝ่ายค้านน่าจะเอาอย่างคุณหญิงสุดารัตน์
เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย
ที่เอาเวลาไปลงพื้นที่เพื่อรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชนแล้วสะท้อนมายังรัฐบาล...ดีกว่า”
เป็นความพยายามใช้ทั่งเล่ห์กลและมนต์คาถาของฝ่ายรัฐประหารที่จะ
‘ลวงโลก’ ให้ยอมปล่อยพวกตนเสวยอำนาจ
ครองบ้านครองเมืองต่อไปอย่างสงบ แต่เชื่อได้ว่าจำนวนผู้ที่ยังหลงใหลในปมเขื่องของนักยึดอำนาจ
มีแต่น้อยลงไปทุกวัน
แม้แต่ปรากฏการณ์ ‘เต้’ มงคลกิตติ์ พรรคศรีวิไลย์งัดข้อกับ คสช.๒
ไม่ย่อ อาจจะเพียงยกระดับ ‘up his ante’ โก่งราคาเพิ่ม เพราะต้นทุนต่ำจนไม่มีอะไรจะเสีย
แต่สิ่งที่นักการเมืองผู้ไม่น่าเชื่อถืออย่างเขากลั่นกล้าเพียงนี้ ย่อมชี้ถึงความจริงอย่างหนึ่งว่า
กึ๋นของ คสช.นั้นจิ๊บจ้อยและหยุ่นยวบเสียนี่กระไร