สัณฐานเหมือนกันหมด
ในเครือข่ายสืบทอดอำนาจรัฐประหาร ตั้งแต่หัวหน้าผู้ก่อการยัน ตลก.บริกร
รายแรกทำเป็นแซว ‘ผู้ต้องหา’ ที่ ‘บริสุทธิ์’ ว่า “ไม่เห็นบอกศาลไม่ยุติธรรม”
รายหลังอ้าง “ใช้คืนแล้วถือว่าความผิดไม่เกิด”
สองกรณีดังกล่าวแม้จะ ‘ต่างกรรมต่างวาระ’ แต่ว่าก็อยู่ในบริบทเดียวกันของการใช้อำนาจอย่างเผด็จการ
ไม่เพียงด้วยการอ้างแบบ ‘ศรีธนญชัย’ หากหนักหนายิ่งกว่า
เข้าขั้น ‘อุบาทว์’ เมื่อเทียบเคียงกับกรณีที่
อธึกกิต แสวงสุข บอกว่า
“ตลกอุบาทว์ องค์กรอำนาจทหาร
ก้าวก่ายงานพลเรือน เป็นรัฐซ้อนรัฐ กลายเป็นองค์กรส่งเสริมคุณธรรม
ใครกล้าประเมินให้ตกวะ”
ใครกล้าประเมินให้ตกวะ”
นั่นจากการที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
(กอ.รมน.) ได้รับการประกาศเกียรติคุณเป็น “๑ ใน ๓ หน่วยงานที่สามารถผ่านการประเมินเป็นองค์กรส่งเสริมคุณธรรม”
โดยสำนักนายกรัฐมนตรี ของ คสช. ๒
รายละเอียดหาอ่านกันที่ https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_1625498 ขี้เกียจเล่าเรื่องสัปปะดี้สีปะดนของการ ‘สำเร็จความใคร่’
ด้วยตัวเองทางการเมือง
อุบาทว์พอกันก็คือ ตลก.ศาลรัฐธรรมนูญชี้แจงต่อสภาฯ
เรื่องที่เคยมีตลาการทั่นหนึ่ง “แต่งตั้งบุตรชายตัวเองเป็นเลขานุการ
(เงินเดือน ๕๑,๘๑๐ บาท)
แล้วปรากฎว่าไม่ได้เข้ามาปฏิบัติงาน
แต่กลับลาไปศึกษาต่อต่างประเทศทั้งที่ยังได้เงินเดือนเป็นเวลาถึง ๑ ปี ๖ เดือน”
ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ตั้งกระทู้ถาม
แล้วนายเชาวนะ ไตรมาส เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญตอบว่า “ผลสอบสวนถึงที่สุดแล้ว
ข้อเท็จจริงคือตุลาการท่านนั้นได้มอบหมายภารกิจให้เลขานุการไปทำขอบเขตที่กว้างขวางออกไปในเครือข่ายของต่างประเทศ”
โอว นี่หรือคือตรรกะตามหลักนิติรัฐ
นิติธรรมของตุลาการไทย ใช้คำ ‘ตลก.อุบาทว์’ ได้อย่างเหมาะเจาะลงตัวเช่นเดียวกับกรณี
‘คุณธรรม’ ของ กอ.รมน. องค์กรที่โดยพฤตินัยและนิตินัยแอบแฝง
ต่อแต่นี้ไปเป็น ‘อำนาจบาตรใหญ่’ กดดันประชาชนที่เห็นต่าง
แทน คสช.
ยังไม่นับประเด็น ‘กินจุ’ ที่นายรังสิมันต์
โรม อภิปรายแจงว่าในปีงบประมาณ ๒๕๖๐ ศาลรัฐธรรมนูญ “ใช้จ่ายด้านบุคลากรถึง ๑๔๙,๙๔๖,๖๐๐ บาท (๖๐.๖๒% ของงบทั้งหมด)” เขาลงละเอียดด้วยว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนุญ
๑ คน มีที่ปรึกษา ๑ อัตรา ผู้เชียวชาญ ๓ อัตรา เลขานุการ ๑ อัตรา ผู้ช่วยเลขานุการ
๒ อัตรา
รวมเงินเดือนผู้สนับสนุนฯ
ตลก.หนึ่งคนปาเข้าไป ๒๖๒,๕๒๐ บาท (ย้ำ เฉพาะผุ้สนับสนุนนะ) มากกว่าเงินเดือน ส.ส. ๑ คนกว่าเท่าตัว
(ส.ส.ได้เดือนละ ๑๒๙,๐๐๐ บาท) “ทั้งที่งานของ ส.ส.
เป็นงานเชิงรุกที่ต้องติดต่อกับพี่น้องประชาชนตลอดเวลา”
เกี่ยวกับการใช้งบประมาณนี่ อีกกรณี
อดีตผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคไทยรักษาชาติ ตั้งปุจฉา “งบประมาณในส่วนของค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่อสาร ๓,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ในอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ สัปปายะสภาสถาน
แล้ววิทยุทรานซิสเตอร์นี้คืออะไรคะ”
อันเนื่องมาแต่พรรครัฐบาล คสช.๒
แจกวิทยุทรานซิสเตอร์ธานินทร์ให้ ส.ส.สังกัดวางไว้ตามจุดพักผ่อน โรงอาหาร ห้องน้ำ
เพื่อที่จะได้ไม่พลาดเวลาถึงคราต้องไปเป็น ‘ฝักถั่ว’ ยกมือสนับสนุนรัฐบาล ทั้งนี้เนื่องจากแพ้โหวตฝ่ายค้านอีกแล้วเป็นหนที่สอง
อันเป็นการลงมติประเด็น “การพ้นจากตำแหน่งของคณะกรรมการประสานงานร่วมสภาผู้แทนราษฎร
(๑) สภาฯ สิ้นอายุ หรือสภาฯ ถูกยุบ หรือไม่มีสภาเพราะเหตุอื่นใด”
ประโยคท้ายนี่กรรมาธิการฝ่ายค้านร้องให้ตัดออกไปเพราะมีนัยยะถึงการยึดอำนาจและรัฐประหาร
ผลการออกเสียงฝ่ายค้านชนะด้วยคะแนน ๒๓๔ ต่อ
๒๒๓ เสียง เชื่อว่าเป็นเพราะ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลมัวพักผ่อนเพลินกัน เลยไปโหวตไม่ทัน น่าจะเป็นด้วย
‘สำนึก’ ในการเป็นผู้แทนฯ
ของพรรคร่วมรัฐบาลดั่ง ‘สมบัติผลัดกันชม’ ยิ่งกว่า ‘รับใช้ประชาชน’ แล้วโทษสัญญานดิจิทัล
เช่นเดียวกับตัวใหญ่ของฝ่ายสืบทอดอำนาจรัฐประหาร
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พยายามเลี่ยงความผิดต่อการที่ตนอ่านคำถวายสัตย์ตัดห้วน (น่าจะโดยตั้งใจ)
ละเว้นคำปฏิญานที่จะปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ แล้วถูกฝ่ายค้านจี้ให้ตอบ ก็เลยไม่ไปสภาเสียงั้น
เป็นวันที่สองแล้ว
ทำเป็นแถกไป ‘จิตอาสา’ เล่นชักคะเย่อกับเด็กตาบอด แถมยังทำเป็น ‘ลาฉลาด’ Smart Ass ถามเด็กๆ ว่า “มีใครจะตั้งกระทู้ถามบ้างไหม”
เหน็บฝ่ายค้านสไตล์ ‘ตลกอุบาทว์’ เสียนั่น
หนักกว่านั้นเป็นการเหน็บแนม นปช. ที่เพิ่งหลุดคดีก่อการร้ายรวด ๒๔ คน
คำพิพากษาคดีก่อการร้าย “เป็นข้อสรุปจากศาลหลังแต่ละฝ่ายต่อสู้กันด้วยพยานหลักฐาน
คนตายไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย การชุมนุมเมษา-พฤษภา ๕๓ ไม่ใช่ขบวนการก่อการร้าย”
ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำ นปช. ครั้งนั้นโพสต์ตบตู่
“นายกฯอย่ามาแซว พวกผมไม่เคยหนีคดี
แต่ท่านกำลังหนีสภา”