วุ้ย พอประยุทธ์เข้าไปเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจด้วยตัวเองก็มีการใช้
‘ยาแรง’ เชียว เนื่องจากช่วงครึ่งปีหลัง
๒๕๖๒ เศรษฐกิจยังจะรากเลือดต่อไป กระทรวงคลังมีแผนทุ่มแจกอีกไม่ต่ำกว่า ๗
หมื่นล้าน กำลังเข้าสู่ ครม. เสร็จประมาณ ๒๐ สิงหา
นอกจากเติมเงินบัตรคนจน-คนชรารายละ ๑ พันแล้ว
ยังแจกเงินให้ผู้ไปเที่ยวทั้งเมืองหลักเมืองรองอีกคนละ ๑,๕๐๐ บาท โดยจ่ายผ่านระบบ ‘อี-เพย์เม้นต์’ อ้างว่าจะทำให้เงินสะพัดถึง ๒-๓
หมื่นล้าน เพราะนักท่องเที่ยวมักจะจับจ่ายมากกว่าพันห้าร้อยอยู่แล้ว
จะอย่างไรก็ตามแต่ ดูตัวเลขเอาแล้วกัน ทุ่ม
๗ หมื่นกระตุ้น ๓ หมื่น ไม่ใช่กระตุ้นฐานรากแล้วมั้ง อย่างที่ ‘ทักษิณ’ ว่าเอายาไทยรักไทยไปใช้
แต่ยาหมดอายุไปนานแล้ว ได้ผลเกือบครึ่งเดียวก็นับว่าบุญ
อ้อ แล้วยังหวังลมแล้งอีกว่ามาตรการ ‘ยาเก่า’
เนี่ยจะทำให้เศรษฐกิจสามารถพยุงตัวอยู่ที่อัตราเติบโต ๓.๕% ได้
ท่ามกลางคำพยากรณ์ของสำนักวิจัยต่างๆ ที่ว่าปีนี้ และดูท่าจะถึงปีหน้า
เศรษฐกิจไทยโตได้อย่างดีแค่ ๓%
นั่นท่ามกลางฉากหลังที่คลังเพิ่งเปิดเผยว่าเมื่อสิ้นเดือนมีนาคม
ประเทศมีหนี้สาธารณะคาอยู่อีก ๖.๙ ล้านล้านบาท เท่ากับ ๔๑.๗๘% ของ ‘ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ’ –GDP โดยหนี้รัฐบาลมากกว่าเพื่อน ๕.๖ ล้านล้าน มือเติบแล้วนี่
(https://www.khaosocial.net/p/38952,
https://www.tnnthailand.com/content/14422 และ https://www.matichon.co.th/economy/news_1622115)
ส่วนประยุทธ์ในฐานะหัวหน้าใหญ่ คสช.๒
ก็กำลัง ‘failing miserably’ ล้มเหลวอย่างแรง
ไหนจะมีพรรคจิ๋วอีกแห่งตามรอย ‘เต้’ ประกาศตรวจสอบรัฐบาลตู่
๒ อย่างไม่ไว้หน้าอินทร์หน้าพรม “เรื่องไหนที่มองว่าไม่เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ก็จำเป็นที่จะต้องทักท้วงและตรวจสอบอย่างละเอียด”
พิเชษฐ์
สถิรชวาล หัวหน้าพรรคประชาธรรมไทยประกาศยืนเคียงข้าง นายมงคลกิตตื สุขสินธารานนท์
หัวหน้าพรรคไทยศรีววิไลย์ “ยืนยันที่จะออกมาอยู่ข้างประชาชน
หากได้รับข้อเสนอจากทางผู้ใหญ่เพื่อให้กลับไป ก็ขอไม่รับข้อเสนอ”
ขณะที่
เรืองไกร ลิกิจวัฒนะ ฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทย “เปิดปมใหม่
การได้มาซึ่งนายกฯ ไม่ชอบตาม รธน.”
เขาบอกว่าเรื่องนี้หนักกว่ากรณีไม่อ่านคำถวายสัตย์ของนายกรัฐมนตรีให้ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ
เพราะมีการข้ามขั้นตอนสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบประยุทธ์เป็นนายกฯ
นายเรืองไกรชี้ว่าเรื่องนี้ความผิดอยู่ที่ประธานรัฐสภา
ชวน หลีกภัย ที่ลัดขั้นตอนการเสนอชื่อบุคคลเป็นนายกฯ ในสภาผู้แทนฯ ไปรวบยอดพิจารณาในที่ประชุมร่วมรัฐสภาเลย
ทั้งที่มีการวางแนวปฏิบัติเป็นบรรทัดฐานไว้แล้วโดยศาลรัฐธรรมนูญ
เรืองไกรเตรียมยื่นคำร้องผ่านอัยการสูงสุด
ว่านายชวนไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ ๖/๒๕๕๙ โดยมีบันทึกการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
และบันทึกการประชุมรัฐสภา ระบุอย่างชัดเจนว่าการโหวตนายกฯ ต้องเริ่มที่สภาผู้แทนฯ
แต่นายชวนกลับ “ไม่ทำ
ทั้งที่มีการทักท้วงแล้ว และมีการรวบขั้นตอนไปทำในที่ประชุมรัฐสภา...ทำให้การได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ”
อย่างจัง
หนักเข้าไปอีกคือการที่รัฐบาลใหม่ของ
คสช.ยังปฏิบัติการเหมือนคณะรัฐประหาร
มีการก้าวร้าวละเมิดสิทธิของประชาชนที่แสดงการทักท้วง คัดค้าน
และเรียกร้องสิทธิของตนในที่สาธารณะ ที่เกิดขึ้นไม่หยุดหย่อน ล่าสุดเป็นการกักกันตัวนายเอกชัย
อิสระทะ นักปกป้องสิทธิชุมชน
@iLawFX รายงานเมื่อเวลาสองทุ่มวันที่ ๑๒ ส.ค.ว่าเขา “ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์อุ้มจากเวทีประชาพิจารณ์เหมืองพัทลุงไปไว้ที่โรงแรมแห่งหนึ่งและปล่อยตัวในวันเดียวกัน
มีการสั่งให้ลบข้อมูลในโทรศัพท์และกล้องติดหน้ารถ”
และในเหตุการณ์ที่พัทลุงนี่นั้น
สุนัย ผาสุก แห่งฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์แจ้งว่า “สื่อมวลชนก็ถูกคุกคามกดดันไม่ให้รายงานข่าวโครงการนี้”
ด้วย
เอกชัยเป็นอดีตรองหัวหน้าพรรคสามัญชน
เขาไปสังเกตุการณ์ประชาพิจารณ์เหมืองหินปูนเขาน้อย จ.พัทลุง แต่เข้าไม่ได้และถูก “อิทธิพลมืออุ้มไปขัง”
ซึ่งเหมืองแห่งนี้คล้ายกับกรณีเขาคูหา จ.สงขลา บ้านเกิดของเขา
ที่ภาคประชาชนรณรงค์ได้รับชัยชนะ
ก่อนหน้านั้นเขาร่วมการเดินเท้าไปพบหัวหน้า
คสช.ที่เมืองสงขลา ในรณรงค์เรื่องโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ที่ถูกเจ้าหน้าที่
คสช.สลายการชุมนุมและดำเนินคดีกับเขา ๒ คดี