การที่กระทรวงการคลังเตรียมงบประมาณลับวงเงิน
๕ หมื่นล้านบาทไว้ให้รัฐบาลใหม่ใช้ ส่อให้เห็นว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมาไม่ได้มีความหมายในทางประชาธิปไตยเลยแม้แต่นิด
มันชี้ชัดถึงการสืบทอดอำนาจเผด็จการโดยประยุทธ์ จันทร์โอชาและสมุน
อีกทั้งพวกลิ่วล้อในพรรค คสช.และพวกสื่อที่นิยมคณะยึดอำนาจ
กลับมาสร้างบรรยากาศของการ ‘ล่าแม่มด’ และ ‘ขวาพิฆาตซ้าย’ ต่อฝ่ายที่เชิดชูหลักประชาธิปไตยและต่อต้านการสืบทอดอำนาจรัฐประหาร
โดยโหมโจมตีอย่างหนักด้วยข้อหา ‘ไม่จงรักภักดี’ ต่อระบอบกษัตริย์
แถลงการณ์โดยคณาจารย์นิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นสัญญานให้เห็นว่าการลุกล้ำคุกคามต่อสิทธิพลเมืองโดยสื่อสายเผด็จการเข้าขั้น
‘เหลืออด’ กันแล้ว
อาจารย์สี่คนของ มช.จึงพร้อมกันประกาศ “จะดำเนินการทางทั้งกฎหมายและทางสังคมต่อสำนักข่าวทีนิวส์อย่างถึงที่สุด”
อันเนื่องมาจากสำนักข่าวแห่งนั้นตีพิมพ์บทความชื่อ
“เบ้าหลอมความคิด ปฏิกษัตริย์นิยม” ที่กล่าวถึง “นักวิชาการสาย ‘ช่อ’ มีในมหาลัยฯ ไหนบ้าง” โดยอ้างชื่อและสถานที่ทำงานของนักวิชาการ
๖๙ คน ซึ่งร่วมกันลงชื่อเรียกร้องเรื่อง “การแทรกแซงการเลือกตั้งและการคุกคามพรรคการเมือง
คือการบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตย”
แถลงการณ์คณาจารย์ชี้ว่าการกระทำของ ‘ทีนิวส์’ นอกจากจะ “เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพราะการกล่าวหาโดยปลุกกระแสว่าบุคคลฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็น
‘ปฏิปักษ์’ กับสถาบันพระมหากษัตริย์” แล้วยัง
“หาใช่วิสัยของสื่อมวลชน
เพราะขาดมาตรฐานทั้งทางวิชาชีพและมนุษยธรรม
ด้วยการใช้ข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง เลื่อนลอย
และผิดกฎหมายต่อบุคคลอื่นโดยขาดการตรวจสอบข้อเท็จจริง” ด้วย อันจะนำไปสู่การใช้ความรุนแรงต่อผู้ที่โต้แย้งอำนาจเผด็จการ
แบบเดียวกับหนังสือพิมพ์ดาวสยามในอดีต อันนำไปสู่การเข่นฆ่าหมู่ชนอย่างโหดเหี้ยม
ท่ามกลางบรรยากาศเลวร้ายในสังคมนี้เอง
แม้แต่กรณีที่เด็กมัธยมใช้ความคิดสร้างสรรทางอุดมการณ์ประชาธิปไตยผลิตพานพุ่มไหว้ครูประกวด
เป็นที่แสลงต่อคณะยึดอำนาจ เกิดเป็นปฏิกิริยาอย่างไร้วุฒิภาวะแห่งความรอบรู้จากพี่ใหญ่
คสช. อย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
พูดได้ไม่ต้องคิดว่าเด็กมัธยมเหล่านั้นต้องมีคนเสี้ยมสอนอยู่เบื้องหลัง
“คิดเองกันไม่ได้” หรอก นอกจากหยามเหยียดสติปัญญาของนักเรียนมัธยมที่ไม่เชิดชูอำนาจเผด็จการแล้ว
ยังฉวยโอกาสป้ายสีกล่าวหากลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามอย่างด้านๆ
ขณะเดียวกันอีกทางหนึ่งรัฐบาล
คสช.เดินต่อตั้งหน้ากอบโกยสินทรัพย์ของชาติอย่างมูมมามไม่หยุดยั้ง
กระทรวงการคลังเผยว่าขณะนี้กำลังดำเนินการจัดทำ ‘งบประมาณลับ’
ในวงเงิน ๕ หมื่นล้านบาท สำหรับรัฐบาล คสช.๒
ได้ใช้จับจ่ายอย่างสะดวกคล่องมือ
งบดังกล่าวเรียกเป็นทางการว่า ‘เงินทุนสํารองจ่าย’ ที่คณะรัฐมนตรีสามารถนำไปใช้โดยไม่ต้องผ่านกรรมวิธีตามกฎหมายงบประมาณ
ด้วยเหตุง่ายๆ เพียงว่า “กรณีมีความจําเป็นเพื่อประโยชน์แก่ราชการแผ่นดิน” ให้ถือว่า
“เข้าข่ายสถานการณ์จำเป็นเร่งด่วน”
ทั้งนี้โดยยุทธวิธีแผลงกฎหมาย ปรับใหม่จาก พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ
พ.ศ.๒๕๐๒ เพิ่มวงเงินจากเดิมกำหนดให้สั่งจ่ายเพียง ๑๐๐ ล้านบาท เป็น ๕
หมื่นล้านบาท อ้างว่า “เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันเข้าสู่ภาวะถดถอย
อีกทั้งยังมีปัญหาเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี ๒๕๖๓
ล่าช้าออกไปอีก ๓ เดือน” รวมถึงต้องการจ่ายเพื่อผลักดันนโยบายของพรรค คสช.
ที่หาเสียงไว้ ว่าจะทุ่มงบประมาณอัดฉีดโครงการต่างๆ ทั้งสิ้นราว ๒ แสนล้านบาท
อย่างไรก็ดี ไม่รู้ว่ารัฐบาล
คสช.อัดฉีดอีท่าไหน กรณีการแก้ปัญหาราคาปาล์ม ปรากฏข่าวแชร์กันกระหึ่มบนหน้าสื่อโซเชียลว่าห้างบิ๊กซีติดป้ายขึ้นราคาน้ำมันปาล์มอีกขวดละ
๑๐ บาท “เพื่อสนับสนุนนโยบายของกรมการค้าภายใน”
เป็นเหตุให้อธิบดีกรมการค้าภายในต้องแถลงแก้ตัว
ชี้แจงว่าไม่ได้สั่งให้ห้างเลิกจัดโปรโมชั่นลดราคาน้ำมันปาล์มขวดเสียหน่อย
เพียงแต่ได้แสดงความเห็น ‘ขอความร่วมมือ’
เพื่อให้ช่วยเหลือในมาตรการดึงราคาผลปาล์มที่ตกต่ำให้สูงขึ้น
“ย้ำราคาปาล์มขวดเหมาะสมไม่ควรต่ำกว่า
๓๔ บาท” นายวิชัย โภชนกิจ คงจะอยู่กับระบอบ คสช. มานานเสียจนซึมซับทั่วสมอง
จนคิดว่าชาวบ้านคงจะว่าง่าย บอกอะไรได้แต่ผงกหัว ยอมรับความต่างของการ ‘สั่ง’ กับ ‘ขอความร่วมมือ’