วันศุกร์, มกราคม 01, 2559

จรรยา ยิ้มประเสริฐ : ส่งท้ายปี 2558 – มองไทยจากนอกประเทศ



แผนที่โลกมองผ่านเสรีภาพสื่อ สีแดงหมายถึงประเทศที่สื่อไม่มีเสรีภาพ รวมไทยด้วย
ภาพจากประชาไท

ส่งท้ายปี 2558 – มองไทยจากนอกประเทศ

ขอสรุปประเด็นที่มองเห็นประเทศไทย จากคนที่มองจากนอกประเทศ จากสื่อนอกการควบคุม และจากการพูดคุยที่คุกขังไม่ได้ ในประเด็นหลักๆ พอสังเขปดังนี้

‪#‎ระบบบคนแก่ครองเมือง‬
ปี 2558 ยังเป็นอีกปีหนึ่งที่ผู้อาวุโสชายแก่อายุเกินวัยเกษียณ ที่ควรจะปล่อยวางมือจากการวุ่นวายทางการเมือง ในนาม "ปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง" ยังคงมีบทบาทสูงมาก ในการดึงดันกระแสการเมืองของประเทศไทย ให้รองรับระบอบเผด็จการทหารเพื่อ "ชาติ ศาส์น กษัตริย์" กันอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นประธานองคมนตรีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ "ผู้ดีรัตนโกสินทร์" อานันท์ ปัญญารชุน "ราษฎรอาวุโส" ประเวศ วะสี รวมทั้งนักการเมืองไร้หลักการเช่นบรรหาร ศิลปอาชา นักการเมืองอ้างหลักการเพื่อพวกกู ชวน หลีกภัย เป็นต้น พวกเขาอัดฉีดวาทกรรม “ขจัดคอรัปชั่นการเมือง” และชักจูงโน้มนำสังคมให้ยอมรับวิถีการเมืองรัฐประหารเพื่อขจัดนักการเมืองคอรัปชั่นกันอย่างต่อเนื่อง

หมดยุคกลุ่มอาวุโสครองเมืองมาหลายสิบปีกลุ่มนี้เมื่อไร ประเทศไทยอาจจะสามารถเดินหน้าได้ แต่จะก้าวตามทันโลกหรือไม่นั้น ยังเป็นเรื่องที่น่ากังวลอยู่มาก เพราะการชะงักงันในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศต่างๆ ในโลก รวมทั้งประเทศเพื่อนบ้าน ต่างก็ไล่ทันและเริ่มทิ้งห่างประเทศไทยไปกันมากโขแล้ว

‪#‎สังคมสองขั้วทะลุมิติอัตตา‬
สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดในปี 2558 คือ ความแบ่งตัวออกเป็นสองฝ่ายอย่างค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะในหมู่ของคนมีปากมีเสียงในสังคมไทย ในขณะที่มันชัดเจนว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบทหารอันมิชอบ และชัดเจนว่ามีการต่อต้านเผด็จการทหารอย่างต่อเนื่อง แต่ในค่ายคนอัตตาสูงที่เคยปฏิเสธระบอบรัฐประหารและเรียกร้องนายกต้องมาเลือกตั้ง ก็สามารถกลืนกินจิตสำนึก และพากันปกป้องอัตตาอันสูงลิ่วอย่างสุดโต่งของพวกเขา ด้วยการหาข้ออ้างหนุนรัฐประหารว่า "ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง" กันต่อไปอย่างหน้ามืด พร้อมกับก้มหน้าก้มตาและหลบตาผู้คนอย่างน่าตลกสมเพช

ในขณะที่มวลชนคนที่พวกเขาอ้างว่าสู้เพื่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ของงพวกเขาดีขึ้น ก็เผชิญกับความทุกข์ยากแสนสาหัสมากขึ้น ทั้งราคาผลิตผลตกต่ำ ต่อรองสิทธิประโยชน์กับนายจ้างไม่ได้หรือถูกเลิกจ้าง หรือถูกไล่ที่ต่างๆ โดยมีข่าวออกสื่ออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน พวกเขาก็ยังพากันปลอบใจกันต่อไปว่า เพราะทักษิณไม่หยุดชักใยอยู่เบื้องหลัง และเชื่อว่าไม่นานอะไรมันก็จะดีขึ้น เมื่อทหารกุมสภาพบ้านเมืองได้เบ็ดเสร็จ

พวกเขาพากัหลอกลวงตัวเองและหลอกลวงชาวบ้านในนาม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ในขณะที่ ความเหลื่อมล้ำในสังคมเพิ่มขึ้นทุกขณะ กันต่อไปได้อย่างหน้าตาเฉย

‪#‎เผด็จการทหารที่คงความบ้าอำนาจอย่างเสมอต้นเสมอปลาย‬
นับตั้งแต่รัฐประหาร สิ่งที่รัฐบาลเผด็จการทหารประสบความสำเร็จ คือ การทำลายทุกหลักการกระบวนการยุติธรรมจนมืดสนิท ทำลายเศรษฐกิจอย่างย่อยยับ ทำลายศักยภาพในการคิดและใช้วิจารณญาณของผู้คนในสังคมไปอย่างมหาศาล

ผู้คนในประเทศไทย ต้องทนเห็นบรรดานายทหาร ออกทีวีกันทุกวัน พร้อมด้วยท่าทางหยิ่งยะโส กากขฬะ กับคำพูดนักเลงโต หยาบคาย ทั้งโกหก บิดเบือน และป้ายสี ปกป้องความผิดของนายทหารกันอย่างออกนอกหน้า ทั้งนี้ไม่มีสักครั้งที่นายทหารจะแสดงสามัญสำนึกแห่งความรับผิดชอบต่อชะตากรรมของบ้านเมือง และไม่เคยแสดงความห่วงใยความเป็นอยู่ของประเทศชาติมากกว่าความผาสุกของบรรดานายทหารและพวกพ้อง

‪#‎ยุคมืดแห่งกระบวนการยุติธรรม‬
แทบไม่ต้องพูดถึงเลยว่ากระบวนการยุติธรรม ทั้งในศาลทหาร และในศาลสถิตยุติธรรมทั่วไปของประเทศไทย นับตั้งแต่รัฐประหาร ต่างตัดสินโดยขัดกับมโนสำนึกของสังคม และยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่า มันไม่เคารพมาตรฐานกระบวนการยุติธรรมสากล ทั้งนี้ศาลในยุครัฐประหารได้เผยโฉมความเป็นอีลีตชนที่ยะโสหัวสูง และไม่ยี่หระต่อกระบวนการยุติธรรมทั้งของไทยและของสากลอย่างโจ๋งครึ่ม

‪#‎วิถีไทยไทยพรางตาโลก_ได้ซะเมื่อไร‬

สิ่งหนึ่งที่เห็นจากการมองไทยผ่านเฟซบุ๊คและโซเชียลมีเดีย คือ

สังคมอีลีตคนมีอภิสิทธิชนไทย ยังคงใช้ชีวิตดัดจริต หรูหรา โดยยังพากันคิดว่าพวกตัวเองนั้นศิวิไลซ์และเลอเลิศทัดเทียมกับผู้คนอารยะในโลกทั้งหลาย ในเสื้อผ้าและกระเป๋าแบรนด์เนมดัง พวกเขาพากันปกป้องเผด็จการทหารโดยกล้าประกาศกับชาวโลก ว่าเผด็จการทหารดีกว่าเผด็จการนายทุน ในขณะที่วิถีชีวิตของพวกเขาก็ดูกลวง ขัดๆ เขินๆ และขัดแย้งกับภาพวิถีชีวิตผู้คนทั่วไป

ในขณะที่คนชนบทและคนหาเช้ากินค่ำ ที่ในความคิดว่าตัวเองไร้อำนาจ ต่างก็พากับยึดโยงความหวังไว้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โชคชะตา รวมทั้งการแชร์ภาพความประหลาดมหัศจรรย์และพิกลพิการของมนุษย์และสัตว์ร่วมโลก (อย่างไม่คิดพิจารณา) ว่าจะให้โชคลางหรือโชคดี

สังคมคนปากกัดตีนถีบ ต่างก็หลงลืมไปว่าพวกเขากำลังเผชิญวิบากกรรมอันเกิดจากการกระทำของผู้มีอำนาจ ที่ไม่มีโชคลาภใดจะมากพอที่จะคืนความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพวกเขาได้ นอกจากการต้องปลดแอกวิถีศักดินาที่หากินบนความสำเร็จที่ทำให้พวกเขาเชื่อว่าตัวเองไร้อำนาจ และจาปลักอยู่กับความหวังแห่งโชคชะตาที่ไร้เหตุผล

ภาพขัดแย้งของสังคมสองวิถีของไทยนั้นรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในความสุดโต่งของทั้งสองวิถี ยังเป็นความสุดโต่งที่ขาดการใช้สติปัญญาและการใช้เหตุผล จนทำให้ผู้คนที่ตื่นตัวและพยายามใช้เหตุผลต่างก็พากันหวาดหวั่นว่า ในวิถีสังคมที่ดูแปลกแยกจากกันยิ่งเช่นนี้ จะยังมีความหวังใดบ้าง ที่จะประสานจูนกันเพื่อให้ยอมรับประชามติแห่งมหาชนกันได้เสียที หรือจะต้องรอให้ทั้งสังคมชนชั้นมีอภิสิทธิ์ ต้องมีบทเรียนแห่งการล้มละลายทางเศรษฐกิจกันอีกครั้งหนึ่งก่อน ถึงจะสามารถลดละอัตตาตัวตน และยอมเคารพความเป็นคนเท่ากันของผู้คนอื่นในสังคมได้เสียที!

ขอส่งท้ายปีเก่าด้วยข้อเขียนนี้ ที่ต้องการสะท้อนมุมมองจากการเฝ้ามองประเทศไทยจากต่างแดน

ขอสติและเหตุผลจงบังเกิดกับทุกผู้คนในประเทศไทยในปี 2559 กันถ้วนหน้าเทอญ!

จรรยา ยิ้มประเสริฐ