ดูเหมือนว่าอะไร ๆ มัน broke loose ผุดโผล่ออกมาในรัฐสมัยตะหานครองเมืองนั่นน่ะ
Human trafficking ก็แล้ว นี่เจอข้อหา exotic animals trafficking อีกบ้าง
ปฏิกิริยาจากคณะนายพลก็คงจะเหมือนเดิม “ปัญหาสั่งสมมาแต่รัฐบาลที่แล้ว” ส่วนรัฐบาลก่อนหน้านั้นตอนกีฬาสีถึงไคลแม็กซ์ ไม่เกี่ยว จะเกี่ยวก็แต่รัฐบาลก่อนโน้นเพราะหัวหน้ามีสายเลือดพันกันพี่กับน้อง
เช่นเดียวกับ ‘โรฮิงญา’ ที่อื้อฉาวขึ้นมาเพราะนานาชาติเขาชี้หน้า คราวนี้ไม่ใช่มนุษย์ถูกข่มเหงเยี่ยงสัตว์ แต่เป็นสัตว์ถูกรังแกเยี่ยงมนุษย์ (ดูจากคลิปเสือโดนเตะ-ตบหัวเหมือนจ่านิวเลย ต่างแค่ไม่มีถุงคลุมเท่านั้น)
https://www.facebook.com/pranaydalmia/videos/10156414922900554/
เสือลายพาดกลอนที่วัดของหลวงตามหาบัว ญานสัมปันโน กาญจนบุรี นี้ปรากฏในสื่อต่างประเทศอย่างกว้างขวางตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว เมื่อมีบทความของนิตยสาร National Geographic ออกมาตั้งข้อสงสัยว่าเอี่ยวโยงขบวนการค้าสัตว์ป่า ที่ผิดทั้งกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายไทย
เรื่องอาจไม่อื้ออึงเท่านี้ หากกระบวนการจัดย้ายเสือลายที่วัดหลวงตาฯ ๑๔๗ ตัว กระจายออกไปให้สถานพิทักษ์สัตว์ป่าหลายแห่งแบ่งกันดูแลอย่างราบรื่น
ทว่าวัดเสือหลวงตาฯ ประกาศจะฟ้องร้องแน้ทชั่นแนลจีโอกร๊าฟฟิคในข้อหาหมิ่นประมาท สื่อต่างชาติก็เลยเอาเรื่องนี้ไปขยายความกันจ้าละหวั่น
(https://asiancorrespondent.com/…/thailands-tiger-temple-sa…/)
บ่องตงนะ เท่าที่ดูจากเนื้อข่าวต่างๆ ของฝรั่ง แถมวิดีโอคลิปที่องค์กรพิทักษ์สัตว์ป่าจัดทำ เรียกว่า ‘Tiger Temple Report’ แล้วมันทำให้ผู้อ่านผู้ชมที่ไม่มีภูมิหลังอะไรมากกับวัดนี้ (นอกจากรู้แต่ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชมเสือโคร่งขนาดใหญ่จำนวนมากอย่างใกล้ชิด ชนิดลูบหัวและให้เสือนอนหนุนตักชักรูป สุด cute หรือ lovely ไม่น้อยกว่าตุ๊กตา ‘ลูกเทพ’) ย่อมต้องเชื่ออย่างไม่มีฉงน
บทความที่เขียนโดย แชรอน กายนัพ เมื่อ ๒๑ มกราคม ๕๙ เล่าละเอียดถึงที่มาข้อกล่าวหาว่าวัดหลวงตาฯ เคยแลกลูกเสือเกิดใหม่กับแหล่งเพาะพันธุ์เพื่อการค้าผิดกฎหมายในลาว
(http://news.nationalgeographic.com/…/160121-tiger-temple-t…/)
ผู้เขียนอ้างถึงรายงานของนางไซเบลล์ ฟ็อกคร้อฟ นักกิจกรรมพิทักษ์สัตว์ป่าชาวออสเตรเลียที่เคยไปทำวิจัยวิทยานิพนธ์ แล้วได้เห็นด้วยตาว่ามีการจับลูกเสือเกิดใหม่พรากไปจากแม่ ด้วยการฉีดยาสลบแม่เสือเพื่อจะฉกเอาลูกน้อย พอแม่เสือฟื้นขึ้นก็ส่งเสียงครวญคำรามดังลั่นแสดงอาการฟูมฟาย
ไม่เพียงเท่านั้นแชรอนยังเล่าถึงการที่เสือสามตัวคือดาวเหนือ แฮ้ปปี้ ๒ และฟ้าคราม ๓ หายไปจากกรงตอนกลางดึกในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ เจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาของวัดคนหนึ่งพบไมโครชิปสามอันที่ตัดออกมาจากตัวเสือ เขานำไปแจ้งต่อสำนักงานพิทักษ์สัตว์ป่าของไทย
มีผู้ใช้นาม Lynx Rufus โพสต์ข้อความบนเฟชบุ๊คถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับเสือสามตัวว่า “วันนี้เอง มีเสือสามตัวหายไป ท้ายที่สุดของวันเขาบอกพวกเราว่า ได้แลกเสือสามตัวกับเสือสีขาวหนึ่งตัว ซึ่งก็ยังไม่เห็นมา”
แกรี่ แอ็กนิว ซึ่งเป็นกรรมการอำนวยการของสวนสัตว์แคลแกรี่ในแคนาดา ได้ทำการตรวจสอบเรื่องเสือที่หายไปนี้ เขาบอกว่าเสือเหล่านั้นถูกฆ่าโดยเจ้าหน้าที่วัดรู้เห็น เขาคิดว่าเป็นการจับเอาเสือผิดตัวไป เพราะเสือเหล่านั้นลงทะเบียนอย่างทางการและฝังไมโครชิป
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ผู้ใช้นามแฝงว่า ‘ชาลี’ คนนี้ภายหลังได้ให้รายละเอียดโดยวิดีโอเทปปิดใบหน้าต่อนางไซเบลล์และแน้ทชั่นแนลจีโอกราฟฟิค และต่อมาลาออกจากงานที่วัดเสือเพราะถูกข่มขู่เอาชีวิต
องค์การกุศลของออสเตรเลียเพื่อพิทักษ์สัตว์ชื่อ Cee4life (Conservation and Environmental Education for Life) อ้างว่ามีการนำเข้า-ออกเสือจากวัดหลวงตาฯ โดยผิดกฎหมายมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๗
เอกสารสัญญาเมื่อปี ๒๕๔๘ ระบุว่ามีการแลกเปลี่ยนเสือระหว่างวัดหลวงตาฯ กับแหล่งเพาะพันธุ์เพื่อการค้าในลาว เสือโคร่งลายพาดกลอนนี้เป็นสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ เพราะมีการค้าใต้ดินข้ามชาติ เป็นสัตว์ที่นิยมในจีน ทั้งหนัง เนื้อ และกระดูกมีราคาสูง
ปัจจุบันมีเสือลายพาดกลอนเหลืออยู่ในโลกเพียง ๓,๒๐๐ ตัว กระจายอยู่ในพื้นที่ ๑๑ ประเทศ โดยเมื่อก่อนราวร้อยปีที่แล้วมีอยู่จำนวนแสนตามป่าต่างๆ ในหมู่ประเทศเอเซีย ๓๐ แห่ง
ยังนับว่าทางวัดเสือได้ขานรับอย่างเป็น professional ได้ดีทีเดียว ต่อกรณีที่มีผู้นำคลิปวิดีโอ (จับภาพตอนคนดูแลทุบและตบหัวเสือ) ไปโพสต์บนหน้าเฟชบุ๊คของวัด ด้วยการตอบว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้องและทางวัดกำลังดำเนินการแก้ไข
แต่หลายสิ่งที่พระเลขาเจ้าอาวาสตอบกับแน้ทชั่นแนลจีโอกร้าฟฟิค ถูกเขาให้ข้อมูลแย้งได้ชัดแจ้ง การยื่นฟ้องหมิ่นประมาทต่อ National Geographic นั่นไม่ได้ช่วยขจัมลทินจากข้อเท็จจริงต่างๆ ที่เขานำเสนอออกมาและได้รับการขานรับไปแล้วทั่วโลก เท่าใดนัก
แนวคิดที่ว่าศาลไทยเป็นทางออกเพื่อแก้หน้าในกรณีใดๆ ที่ถูกเพ่งเล็งโดยสื่อและองค์กรนานาชาติ นั่นเป็นความคดล้าสมัยยิ่งนัก ประเทศไทยไม่สามารถอ้างความเป็นดินแดนสุดแสนน่ารัก น่าเลื่อมใสเหมือนดั่งตุ๊กตาลูกเทพในสายตาของประชาคมนานาชาติได้แล้ว
หากเบิ่งตาดูให้กระจ่างถ่องแท้จะพบว่านานาชาติเขามองเห็นศาลไทยยังมะงุมมะงาหราอยู่กับแบบแผนของศตวรรษที่ ๑๙ ที่ผ่านมาแล้ว ๒๐๐ ปี
อีกทั้งยิ้มสยามได้กลายเป็นยิ้มยะโสแฝงเลศนัยสำหรับเพื่อนบ้านในอุษาคเนย์มาหลายปีดีดักนักเช่นกัน จนบัดนี้กลับกลายเป็นยิ้มแหยของเด็กดื้อไม่รักดี เพราะพ่อแม่เสี้ยมสอนให้ปิดหูปิดตา แต่เปิดปากเหม็นๆ อยู่ภายในกะลาครอบรูปขวาน (สุวรรณ color)
อ่า ขออภัยที่ใส่หนัก วันนี้ขอใช้สิทธิผูกพันทางชาติเชื้อ เพราะสิ่งที่กล่าวเมื่อกี้ล้วนทำให้รู้สึกว่าศักดิ์ศรีของตนถูกปู้ยี่ปู้ยำโดยมิควร จากความอวดดีของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ เท่านั้นเอง