ที่มา มติชนออนไลน์
23 ม.ค. 59
เมื่อวันที่ 23 มค. นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกฯ และแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนจำได้แม่นยำว่า ในช่วงที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางไปเยือนต่างประเทศและได้พบปะพูดคุยกับนักธุรกิจชั้นนำแทบทุกประเทศกว่า 40 ประเทศ และผู้นำประเทศต่างๆ เข้ามาเยือนไทยเราและการมาขอเข้าพบของภาคธุรกิจสมาคมและกลุ่มต่างๆ จากต่างประเทศ ตลอดช่วงเวลา 2 ปีเศษ ก่อนที่จะมีการปฏัวัติเกิดขึ้นนั้น ต่างชาติได้พูดถึงปัญหาที่เขามาประสบพบเจอในการที่จะเข้ามาทำธุรกิจในไทยว่า ขั้นตอนทางกฎหมายและระเบียบข้อบังคับต่างๆ ของไทยค่อนข้างจะยุ่งยากลำบากในการที่เขาจะเข้ามาลงทุนหรือทำธุรกิจในไทย ทำได้ล่าช้ามากๆ
ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ได้มีบัญชาให้กระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ให้ดำเนินการรีบแก้ไขและปรับปรุงกฎเกณท์ระเบียบขั้นตอนต่างๆ ให้เกิดความสะดวกแก่นักลงทุน และนักธุรกิจต่างชาติ และได้มอบหมายให้สภาพัฒน์ ฃึ่งในขณะนั้น นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เป็นเลขาฯอยู่ให้ทำการเปรียบเทียบกับต่างชาติว่าการทำธุรกิจในไทยเราเทียบกับประเทศอื่นๆ มีความแตกต่าง ล่าช้าได้เปรียบเสียเปรียบกว่าเขาอย่างไรบ้าง เพื่อที่เราจะได้นำมาปรับปรุงแก้ไขใช้ในบ้านเรา เพื่อให้การแข่งขันในการเข้ามาทำธุรกิจกับเราได้สะดวกรวดเร็วขึ้นและให้จัดทำเป็นคู่มือเอาไว้แล้วด้วย ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Ease of doing business” แต่ยังไม่ทันที่จะเริ่มใช้ก็เกิดปฏิวัติเสียก่อน
นายสุรพงษ์กล่าวต่อว่า อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้โปรดเข้าใจและชี้แจงให้ประชาชนทราบให้ถูกต้องด้วย อย่ากล่าวหาหรือคิดว่ารัฐบาลนี้เป็นผู้ริเริ่มหมดในทุกๆ เรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องรถไฟฟ้าความเร็วไทยจีน โครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย ไทยเมียนมา เขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนที่แม่สอด และจุดอื่นๆ โครงการกองทุนหมู่บ้าน หรืออะไรต่อมิอะไรที่รัฐบาลนี้ก็ไปหยิบเอาความคิดของรัฐบาลอื่นๆ มาทำต่อแทบทั้งสิ้น ซึ่งเราก็ไม่ว่ากัน
แต่การที่พูดเสมือนหนึ่งว่ารัฐบาลนี้เป็นผู้ริเริ่มหรือต้นคิดขึ้นเองทั้งหมด และรัฐบาลที่ผ่านๆ มาไม่ได้คิดริเริ่มทำสิ่งเหล่านี้มาก่อนเลยนั้นมันไม่น่าจะถูกต้อง อยากจะขอร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าควรให้เกียรติคนอื่นบ้าง การเป็นผู้นำถ้าท่านทำได้ดีก็ให้ทำไปให้เต็มที่ ประเทศชาติก้าวไปข้างหน้าประชาชนไม่เดือดร้อน ไม่ทุกข์ยากลำบาก มีรายได้พอกินพอใช้จ่ายก็ขอให้ท่านทำไปเลยและอยู่ไปนานๆ เลย
นายสุรพงษ์กล่าวว่า ที่เป็นห่วงก็คือว่าทุกวันนี้ท่านอาจจะหลอกคนอื่นได้แต่ท่านหลอกตัวเองไม่ได้ การไปต่างจังหวัดของท่านก็ต้องถามว่าประชาชนที่มารุมล้อมท่านนั้นเขามาด้วยใจหรือไประดมกันมาต้อนรับท่าน ประชาชนมีความสุขจริงหรือ และก็อยากจะฝากถึง พล.อ.ประยุทธ์ว่าปัจจัยอีกประการหนึ่งที่นักลงทุนหรือนักธุรกิจเขาไม่อยากจะเข้ามาลงทุนในบ้านเราก็คือ การล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยและขบวนการดำเนินการทางกฎหมายที่ไม่เป็นไปตามหลักสากล เช่น การเข้าไปอุ้มตัว เป็นต้น ฃึ่งเขาจะต้องห่วงใยในชีวิตและความปลอดภัยของคนของเขา และตราบใดที่ไทยเรายังไม่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงเขาก็ต้องคิดหนัก
และประการที่สำคัญที่สุดที่เขาก็คงไม่ยาก หรือกล้าเข้ามาลงทุนในไทยเราอย่างแน่นอน เพราะหากวันดีคืนดีผู้นำประเทศออกมาประกาศปิดประเทศแล้วเขาจะทำอย่างไร ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ผมเชื่อว่าต่างชาติเขาต้องการทราบคำตอบให้ชัดเจนก่อนครับ ส่วนเรื่องการค้ามนุษย์ที่สหรัฐเขาจับตาอยู่และการใช้แรงงานเถื่อนและแรงงานเด็กในการทำประมงของเราที่อียูเขาเฝ้าติดตามอยู่อย่างใกล้ชิดอยู่ในขณะนี้ ยิ่งรัฐบาลได้แสดงให้เขาเห็นว่าท่านยังมีการกระทำที่ล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่เสมอๆ และท่านนายกฯก็ออกมายืนยันว่าไม่แคร์ต่างชาติเพราะท่านทำตามกฎหมายไทย ก็ยิ่งทำให้รู้สึกน่าเป็นห่วงต่อสถานการณ์ของไทยในการปรับระดับการเฝ้าระวังการค้ามนุษย์หรือเทียร์ของทั้งสหรัฐ และการให้ใบแดงของไอยูยูในกลุ่มประเทศอียูอยู่ในขณะนี้เป็นอย่างมาก
ooo
หรือว่าไม่จริง ต้องอ่านเอง
Posted by มนตรี กองธนาดำรงค์ on Friday, January 22, 2016