ที่จริงการถอดยศอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร มันแค่เรื่องขี้ประติ๋ว
อย่างที่คนใกล้ชิด และพานทองแท้ (ลูกชาย) บอกไว้ว่ารู้สึกเฉยๆ ไม่แปลกอะไร ไม่เห็นจำเป็นต้องทำให้วุ่นวาย
(บีบีซีไทย - BBC Thai และ http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1439251556)
ยศพันตำรวจโทก็แค่นั้น ความสัมพันธ์กับทหาร-ตำรวจจากโรงเรียนเตรียมทหาร กับบารมีอดีตนายกรัฐมนตรีเหนือกว่าเยอะ อีกทั้งเกียรติศักดิ์ในฐานะบุคคลสำคัญระดับสากลนั่นก็เหลือเฟือแล้วละ
ถามกฤษฎีกากันอยู่ได้ ถามแล้วถามอีก ถามให้ครบ ๗ ประเด็น แค่ไม่ต้องการใช้มาตรา ๔๔ ให้น่าเกลียดไปกว่านี้เท่านั้นแหละ
(http://news.sanook.com/1845998/)
รู้อยู่ว่าทั่วโลกเขาจับจ้อง ว่าการใช้มาตรา ๔๔ พร่ำเพรื่อ ยิ่งทำให้ คสช. และรัฐบาลประยุทธ์หมดความน่าเชื่อถือ (credibility) ในชุมชนนานาชาติลงไปทุกวัน
แค่นี้ก็ ‘ugly’ ไม่ยิ่งหย่อนกว่าคนดำในแผนภาพออนไลน์ “Ideas and teaching materials for English lessons.” ที่ ‘Coconuts Bangkok’ เอ่ยถึง โดยมี James Austin เอาไปขยายผลบน ‘Asian Correspondent’ ว่า “เหยียดผิว หรือแค่หลงผิดกันแน่”
(http://bangkok.coconuts.co/…/vocabulary-chart-teaches-child… และhttp://asiancorrespondent.com/…/in-thailand-black-is-ugly-…/)
จะมีก็แต่จีนกับเกาหลีเหนือที่เออออ ป้อคำยอไว้ให้เอามาใช้โฆษณาชวนเชื่อ (propaganda)
อย่างที่ พล.อ.ธนะศักดิ์ (ปฏิมาประกร) เก็บเอามาคุยว่าทั่นคิมจองอิลฝากความคิดถึง ชวนไปลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษเกาหลีเหนือ แถมประโลมไทยด้วยว่าเป็นคนน่าไว้วางใจ มารยาทดีไม่จุกจิกจู้จี้กับเรื่องชาวบ้าน
(แหม นี่ตีความอย่างไพร่ๆ ก็ได้นะ ว่าวางใจได้เพราะไร้น้ำยา แถมยังแหยงไม่กล้าสอดแซมเสนอหน้าอะไรกับใคร)
นายรี ซูยอง คงรู้มั้งว่าฝีมือบริหารเศรษฐกิจรัฐบาลทหารไทยนี่ค้าขายด้วยมีแต่รวยกับรวย เพราะที่นี่ลด แลก แจก แถม สะบัด
อย่างกรณีนโยบายชวนท่องไทย ต่อนี้ไปถ้ามาขอใช้สถานที่ถ่ายหนัง ยังจะได้ค่าตอบแทนกลับ ๑๕-๒๐ เปอร์เซ็นต์ กระทรวงท่องเที่ยวกะว่าจะทุ่มไม่ยั้งถึง ๒๐๐ ล้าน (เงินภาษีเราๆ ท่านๆ) ไม่เป็นไร ประเทศชาติได้หน้าเป็นกอบเป็นกาญจน์
(http://www.thairath.co.th/content/517490)
ทั้งหลายทั้งปวงเพื่ออำพราง กลบเกลื่อนไส้ใน ‘เผด็จการ’ ไม่ให้ต่างด้าวเอาไปใช้เป็นหลักฐาน หารู้ไม่ว่าต่างด้าวเขารู้กึ๋นดีกว่าไทยๆ ที่ชอบเคลิ้มเสียอีก
ดังที่ Shawn W. Crispin เขียนไว้หยกๆ เมื่อวานที่ The Diplomat เรื่อง ‘U.S.-Thailand Relations on a Razor’S Edge.’ (http://thediplomat.com/…/us-thailand-relations-on-a-razors…/)
แหะๆ อีกแระ ไม่มีไรมาก แค่บอกว่า อดีตผู้แทนทางการทูตสหรัฐสำหรับเกาหลีเหนือ กลิน เดวี่ส์ ซึ่งวุฒิสภาเพิ่งจะอนุมัติการแต่งตั้งเป็นเอกอัคราชทูตประจำประเทศไทยเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนั้น
“ประสบการณ์ของเขาทางการทูต เป็นแบบเผชิญหน้าและปิดประเทศกับเปียงยาง ซึ่งเห็นกันในกรุงวอชิงตันว่าเป็นรัฐห่ามนั้น ส่งสัญญานว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเขาในกรุงเทพฯ จะยิ่งกระพือ (ท่าทีปฏิเสธอำนาจของทหาร) มากเสียกว่าที่จะลดแรงกดดันต่อคณะปกครองของประยุทธ์ที่จำกัดสิทธิประชาชน”
บทความของชอว์นอ้างถึงท่าทีสหรัฐหลังการรัฐประหารในไทยเมื่อปี ๒๕๔๙ ว่าประคบประหงมเสียจนเหลิง แต่ก็ “การถ้อยทีถ้อยบรรจงของสหรัฐต่อนักรัฐประหารไทยในครั้งนั้นมุ่งที่จะคงไว้ซึ่งสิทธิสภาพในการใช้สถานที่ยุทธศาสตร์บางแห่งต่อไป
รวมถึงการใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นที่แวะลงเติมน้ำมันของเครื่องบินรบอเมริกันบนเส้นทางไปอาฟกานิสถานและอิรัก กับการเป็นแหล่งประกอบการลับสำหรับหน่วยซีไอเอใช้สอบสวนผู้ต้องหาก่อการร้ายที่กักกันไว้”
ชอว์น คริสปิน อ้างด้วยว่าการตัดสินใจใช้นโยบายโอภาปราศรัยกับคณะรัฐประหารปี ๔๙ ของไทย “ได้รับอิทธิพลอย่างหนักจากเอกอัคราชทูตร้าล์ฟ ‘สกิ๊ป’ บ๊อยซ์ ผู้มีบุคคลิกดี พูดไทยได้ เขาสร้างสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับบรรดานายทหารรอยัลลิสต์ และที่ปรึกษาระดับสูงของราชสำนัก”
แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แบบนั้น
“มีเสียงเรียกร้องมากขึ้นในกรุงวอชิงตันให้เอาเรื่องกับคณะรัฐประหารไทยชุดนี้ เพื่อเป็นโอกาสที่จะวางมือไปจากไทยเสียที แล้วหันไปสานสัมพันธ์แน่นหนากับประเทศที่ผสานกับหลักการ ‘Pivot’ ทะลวงสู่เอเซียของสหรัฐ ได้แก่เมียนมาร์ ฟิลิปปินส์ และเวียตนาม...
นักวางแผนหลายคนในวอชิงตันรุกเร้าให้ใช้มาตรการเข้มข้นยิ่งขึ้นกับคณะทหารไทย เมอเรย์ ไฮเบิร์ต ผู้เชี่ยวชาญเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ประจำศูนย์ยุทธศาสตร์และการศึกษาระหว่างประเทศ ให้การต่อคณะอนุกรรมาธิการสภาผู้แทนสหรัฐ เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายนนี้ว่า
สหรัฐควรที่จะย้ายสำนักงานกลางต่างๆ ในภาคพื้น อาทิ AID, FBI และหน่วยงานสกัดยาเสพติด ออกไปเสียจากกรุงเทพฯ ถ้าหากว่ามีการยืดกำหนดเวลาการเลือกตั้งออกไปอีกหลังเดือนกันยายน ๒๕๕๙
ไฮเบิร์ตเสนอให้แต่งตั้งผู้แทนพิเศษของรัฐบาลสหรัฐไปประจำประเทศไทยอีกคน นอกเหนือจากเอกอัคราชทูตปกติ เพื่อจะได้คอยเจรจากับพวกผู้นำกองทัพโดยตรงเกี่ยวกับแนวคิดของแต่ละฝ่าย และในเรื่องที่สองประเทศข้องใจ
บางคนยังแนะด้วยว่า ให้ตั้งอดีตทูตบ๊อยซ์ไปเป็นผู้แทนพิเศษประจำเมืองไทยอีก เขาเหมาะกับบทบาทในการเป็นตัวกลางประสานนี้มาก ปัจจุบันเขาเป็นหัวหน้าผู้บริหารบริษัทโบอิ้งประจำสิงคโปร์”
นักศึกษาประวัติศาสตร์ ‘เพิ่งสร้าง’ ของไทยคงรู้จักทูตบ๊อยซ์คนนี้ดี เขาเป็นทูตที่บันทึกการสนทนากับคนชั้นนำหลายต่อหลายคน ในเรื่องเกี่ยวกับราชวงศ์ชั้นสูงของไทย ที่ไปแพร่หลายอยู่ในวิกิลี้ค
คน ‘ดีๆ’ เหล่านี้ทั้งประธานองคมนตรี อดีตนายกรัฐมนตรีผู้ดีรัตนโกสินทร์ อดีตไทยซีไอเอ อดีต รมว.กต. และอดีตนักการเมืองพรรคฝ่ายค้าน (ขณะนั้น แต่เดี๋ยวนี้ทำท่าจะกลายเป็นรัฏฐาธิปัตย์ไปแล้ว เพราะสามารถสั่งให้ประเทศ 'เละ' ได้)