วันจันทร์, สิงหาคม 24, 2558

งบลับ 1,833 ล้านเหลือค่าไม่ถึงสลึง !? “ระเบิดเอราวัณ”ประจานข่าวกรองไทย




ที่มา ผู้จัดการออนไลน์
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน
22 สิงหาคม 2558

ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -นับเป็นปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดจนอาจจะยกให้เป็น Thailand only เลยก็ว่าได้เพราะภายหลังเกิดเหตุระเบิดคร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวนมากได้เกิดกระแสรักชาติ ขึ้นมาอย่างฉับพลันทันใด นอกจากการแสดงออกตามสื่อโซเชียลมีเดีย หลายจังหวัดขึ้นป้ายประณามการกระทำของผู้ร้ายใจอำมหิต ขณะเดียวกันแม้ยังไม่มีท่าทีชัดเจนจากหน่วยข่าวกรองทหาร - ตำรวจมากนัก ทำให้ประเด็นทางการเมืองเรื่องเก่าๆเริ่มหยิบมาโจมตีกัน

ห้วงเวลาที่ล่วงเลยมาเกือบสัปดาห์หลังคนไทยต้องอยู่ในอาการ “ช็อก”และเศร้าสะเทือนใจ ช่วงฝุ่นควันระเบิดจางลงไปแล้วจึงน่าจะพูดถึงประสิทธิภาพการทำงานของบรรดาฝ่ายข่าวกรองต่างๆโดยเฉพาะด้านความมั่นคงประกอบด้วยสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานปลัดกลาโหม กองบัญชาการกองทัพบก กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ กระทรวงมหาดไทย ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติและอื่นๆอีกจำนวนมาก

หน่วยงานเหล่านี้ขึ้นตรงกับใครจะพยายามหลีกเลี่ยงกระทบถึงบุคคลแต่ขอวิจารณ์ในภาพรวมโดยตั้งคำถามว่าเหตุลอบก่อวินาศกรรมที่ศาลพระพรหม ด้วยระเบิดที่มีอานุภาพทำลายล้างสูงนั้นไม่มีหน่วยข่าวใดระแคะระคายบ้างเลยหรือ

มีประชาชนจำนวนไม่น้อยถามถึงประสิทธิภาพของหน่วยข่าวกรองทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นในส่วนขึ้นตรงกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขึ้นตรงกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ขึ้นตรงกับ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผบ.ทบ. และขึ้นตรงกับ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผบ.ตร. อาจจะต้องสังคยานากันใหม่ทั้งหมด ทั้งการเลือกเฟ้นบุคคลที่เหมาะสมเข้ามาปฏิบัติหน้าที่รวมทั้งขีดความสามารถในการทำงาน

ต้องยอมรับกันว่าที่ผ่านๆมานั้นฝ่ายความมั่นคง ต่างให้ความสำคัญกับปัญหาการเมืองภายในประเทศ บุคลากรต่างๆที่เลือกเฟ้นเข้ามาเพียงแค่สนองความต้องการของอำนาจการเมืองในขณะนั้น ปัญหาการแต่งตั้งบุคคลที่เหมาะสมจึงถูกละเลยกลายเป็นปัญหาเรื้อรังสืบทอดมาตั้งแต่รัฐบาลพลเรือนต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลทหาร

สมศักดิ์ โชติรัตนะศิริ ผอ.สำนักงบประมาณ เคยให้สัมภาษณ์เป็นข่าวพาดหัวเมื่อเร็วๆนี้ว่าในแต่ละปีไล่มาตั้งแต่ 2556 -2558 มีงบลับจัดไว้ให้หน่วยงานต่างๆอย่างไม่ขาดตกบกพร่องปีละ 1,833 ล้านบาท

แบ่งเป็นแต่ละส่วนราชการดังนี้ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี 140 ล้านบาท สำนักสภาความมั่นคงแห่งชาติ 18 ล้านบาท สำนักข่าวกรองแห่งชาติ 696 ล้านบาท สำนักคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 120 ล้านบาท สำนักป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน 55 ล้านบาท กรมศุลกากร 45 ล้านบาท กรมสรรพสามิต 36 ล้านบาท กรมสรรพากร 30 ล้านบาท กรมทางหลวง -ตำรวจทางหลวง 3 ล้านบาท สำนักปลัดกระทรวงมหาดไทย 27 ล้านบาท

กรมการปกครอง 504 ล้านบาท กระทรวงการต่างประเทศ 24 ล้านบาท สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ 30 ล้านบาท ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ 60 ล้านบาท กรมราชทัณฑ์ 10 ล้านบาท กรมสอบสวนคดีพิเศษ 35 ล้านบาท

ในส่วนของกองทัพกระทรวงกลาโหมมีเงินราชการลับ 96 ล้านบาท กรมราชองค์รักษ์ 32 ล้านบาท กองบัญชาการกองทัพไทย 162 ล้านบาท กองทัพบก 870 ล้านบาท กองทัพเรือ 186 ล้านบาท กองทัพอากาศ 66 ล้านบาท

จะเห็นได้ว่าหน่วยงานที่ได้งบลับสูงสุดคือกองทัพ มากถึง 1.4 พันล้านบาท หรือ 3 ใน 4 ส่วนที่เหลือรองลงมาคือสำนักข่าวกรองแห่งชาติ 696 ล้านบาทแต่ค่าการข่าวที่ลงทุนไปถือเป็น “ศูนย์” เพราะไม่สามารถหยุดยั้งขบวนการมุ่งร้ายต่อประเทศชาติได้เลย

ความผิดพลาด บกพร่องทั้งหลายที่เกิดขึ้นแทบไม่น่าเชื่อว่าทุกคนที่นั่งเก้าอี้ตัวใหญ่ๆ มีเงินเดือนสูงๆพร้อมงบลับจำนวนมหาศาลสามารถเบิกจ่ายกันได้อย่างสบายนั้นกลับยังกอดเก้าอี้อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว อย่างมากก็แค่หลบหน้าหลบตานักข่าวไปสามสี่วันแล้วก็โผล่มารับเงินเดือนกันต่อ

คำแก้ตัวที่ชอบใช้กันประจำคือยกพฤติกรรมของฝ่ายจ้องทำกับฝ่ายป้องกันว่าฝ่ายรัฐเป็นผู้เสียเปรียบนั้นมันอาจจะหยิบมาได้ในบางกรณีแต่สำหรับเหตุการณ์ระเบิดครั้งรุนแรงในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่คนร้ายยึดสี่แยกราชประสงค์ พร้อมชีวิตบริสุทธิ์ของผู้คนมาเป็นเป้าหมายนั้นมันเกินกว่าจะยอมรับกันได้

จากศาลท่านท้าวมหาพรหม นับเป็นเส้นตรงไม่ถึง 400-500 เมตร ก็จะเป็นห้องทำงานของพล.ต.อ.สมยศ ผบ.ตร.คนปัจจุบัน หรือห้องทำงานของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ว่าที่ผบ.ตร.ในอนาคตที่ขณะนี้คุมฝ่ายความมั่นคง ในส่วนของตำรวจ และยังรวมถึงหน่วยข่าวหลักของสนักงานตำรวจแห่งชาติ นั่นคือกองบัญชาการตำรวจสันติบาล ภายใต้การนำของ พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย

เสียงระเบิด กลิ่นดินปืน คาวเลือดรวมทั้งภาพความสูญเสียท่านรู้สึกอย่างไรกันบ้าง

ตลอดเวลาที่ผ่านมาฝ่ายการข่าวของทหาร - ตำรวจ ให้ความสำคัญ “ความมั่นคง”ของใคร ของประเทศชาติหรือกลุ่มคณะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง...คำถามเหล่านี้ท่านไม่จำเป็นต้องตอบเพราะภาพความเป็นจริงมันฟ้อง ย้อนหลังไปเดือนสองเดือนที่ผ่านมานั้นทั้งตำรวจ และทหาร มีอยู่เรื่องเดียวคือใครจะมาเป็น ผบ.ตร.คนใหม่ ใครจะมาเป็น ผบ.ทบ.คนใหม่

ส่วนรัฐบาลโฟกัสอยู่ที่การบริหารอำนาจมีทั้งปรับ ครม.และเตรียมแต่งตัวให้กับบรรดาข้าราชการที่กำลังจะเกษียณฯ

เปิดหน้า เปิดคางกันขนาดนี้จึงเป็นช่องว่างให้ “คนเลว” มาก่อกรรมทำเข็นกับคนไทยโดยผู้มีอำนาจ และทุกภาคส่วนไม่รู้สึกสักนิดว่าตัวเองล้มเหลว หรือมีส่วนบกพร่องที่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ในเมืองหลวง ในสถานที่อันเป็นสัญญาลักษณ์ทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว

แน่นอนว่าผลกระทบต่างที่จะตามมาคนรับกรรม ก็คือประชาชนคนไทยทุกคน ทั้งผู้สูญเสีย สภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วจะต้องเลวร้ายลงไปเรื่อย ที่น่าหวาดวิตกมากที่สุดก็คืออาจมีการนำเหตุการณ์ไปขยายผลทางการเมืองเพราะท่าทีของ “ตัวแทน” ฝ่ายผู้มีอำนาจเริ่มจากพล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุอย่างรวดเร็วทั้งที่ยังขาดพยานหลักฐาน ความเชื่อมโยงต่างๆว่าเป็นความขัดแย้งทางการเมือง

อีกกรณีหนึ่งระเบิดลูกที่สอง บริเวณท่าน้ำสาทร พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผบ.ตร.ในฐานะโฆษกตำรวจ ออกมาระบุอย่างรวดเร็วว่าชิ้นส่วนที่พบเป็นระเบิดชนิดเดียวกับระเบิดแสวงเครื่องสี่แยกราชประสงค์

จังหวะเร็วกลับช้า จังหวะที่ควรช้ากลับรวดเร็ว ขัดกันไปมาจนผิดปกตินั้น หลายคนเริ่มมีความกังวลใจ ทางหนึ่งคือคนร้ายกำลังคิดอะไรก็น่ากลัวพออยู่แล้ว แต่อีกทางหนึ่งน่ากลัวกว่าคือตำรวจกำลังคิดอะไร

ดักทางกันแต่เนิ่นๆเพราะประเทศไทยบอบช้ำกันมาเกินพอแล้ว ชีวิต เลือด น้ำตา ที่ดับดิ้นไปจะต้องมีคนชดใช้ ขอเพียงแต่ว่าต้องใช่ เป็นคนร้ายจริง สามารถโยงไปจนถึงผู้อยู่เบื้องหลังเพราะหากยังติดกับดักอำนาจ ยังวนเวียนกับปัญหาเดิมๆ

กลายเป็น “ความมืดบอด” จนทำให้มองไม่เห็นปัญหาใหม่อาจนำพาให้ชาติบ้านเมืองล่มจมได้