วันศุกร์, สิงหาคม 28, 2558

กลืนน้ำลาย เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจ



ที่มา โลกวันนี้
On August 27, 2015
คอลัมน์ : โลกวันนี้มีประเด็น

ข่าวดีประเทศไทย จากนี้ไปจะไม่มี “คนรากหญ้า” เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะใช้อำนาจ ม.44 สั่งห้ามเรียก “คนรากหญ้า” แต่ให้เรียกว่า “ผู้มีรายได้น้อย” แทน เพื่อไม่ให้เกิดการแบ่งชนชั้น

ด้านการปั๊มชีพจรเศรษฐกิจของทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ที่นำโดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หลังเริ่มต้นทำงานก็แอ็คทีฟกันเต็มที่ เพราะท่านผู้นำขีดเส้นแล้วว่าให้เวลา 3 เดือน ต้องเห็นหน้าเห็นหลัง มองเห็นความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จับต้องไม่ได้ มีแต่ทรงกับทรุดจนต้องเปลี่ยนแปลงแบบยกเครื่องใหม่

การประชุมคณะรัฐมนตรีสัปดาห์หน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล็อตแรกจะถูกผลักดันออกมา นั่นคือการยัดเงินใส่มือผู้มีรายได้น้อย โดยใจป้ำให้เงินกู้ไม่คิดดอกเบี้ยผ่านกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง

ให้คนมากู้เงินไปใช้ โดยมีข้อแม้ว่าห้ามเอาไปใช้หนี้ ต้องเอาไปใช้จ่ายเพื่อให้เกิดกระแสเงินหมุนเวียนเท่านั้น

ส่วนจะให้กู้รายละกี่บาท ต้องใช้คืนภายในระยะเวลาเท่าไร จะมีความชัดเจนใน 2-3 วันนี้

นอกจากนี้ยังจะมีมาตรการต่างๆออกมาเสริม โดยมีเงินกระตุ้นเศรษฐกิจก้อนแรก 50,000 ล้านบาท หากไม่พอก็ต้องอัดเม็ดเงินเพิ่ม ถ้างบประมาณไม่มีก็ต้องกู้มาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้ว่า ที่ทีมเศรษฐกิจเริ่มต้นด้วยการยัดเงินใส่มือผู้มีรายได้น้อย และเลือกใช้ช่องทางกองทุนหมู่บ้าน เพราะหวังว่าเงินจะกระจายไปทุกกลุ่มทั่วประเทศ ไม่กระจุกตัวเฉพาะกลุ่มเหมือนการจ่ายเงินอุดหนุนเกษตรกร

ด้านกระทรวงพาณิชย์ภายใต้การดูแลของนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการ และนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วย จะออกมาตรการมารองรับการใช้เงินของผู้มีรายได้น้อยที่ได้จากการปล่อยกู้ของกองทุนหมู่บ้าน เพื่อให้เงินก้อนนี้หมุนเวียนเข้าระบบโดยเร็วที่สุด

ขณะที่กระทรวงคมนาคมภายใต้การกำกับดูแลของนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการ หวังว่างบซ่อมสร้างถนนที่จะออกในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้กว่า 40,000 ล้านบาท จะมีส่วนสำคัญช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้ส่วนหนึ่ง

นอกจากนี้จะเร่งการลงทุนเมกะโปรเจกต์ 17 โครงการ วงเงินกว่า 1.6 ล้านล้านบาท ให้มีความชัดเจนขึ้น

วางเดิมพัน 3 เดือนจะต้องมีผลงานจับต้องได้ เห็นความเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น เพื่อไม่ให้ปัญหาเศรษฐกิจบานปลายกระทบความรู้สึกของประชาชนมากกว่าที่เป็นอยู่

จะทำอะไรก็ต้องรีบทำ จะใช้ประชานิยมที่เกลียดกลัว จะต้องให้ประชาชนมีหนี้เพิ่มจากการกู้เงินก็ต้องยอม

ooo

ข่าวเก่า เพื่อการเทียบเคียง...


'สมคิด' โวนโยบายไทยรักไทยพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมมาถูกทางแล้ว


24 สิงหาคม 2549 14:24 น.
ผู้จัดการออนไลน์

“สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” มั่นใจการดำเนินนโยบายของพรรคไทยรักไทยช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของไทยมาถูกต้องแล้ว ทั้งการพัฒนาเศรษฐกิจไทยให้เข้มแข็งและเกิดความเชื่อมั่นในสังคมที่มีความสุขและยั่งยืน แนะสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ปรับแนวคิดไปส่งเสริมการพัฒนาความรู้และโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้คนไทยแข่งขันกับต่างประเทศได้มากขึ้น

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในงานสัมมนาครบรอบ 40 ปี ของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และบรรยายพิเศษในหัวข้อ “มองอนาคตการลงทุนไทย” ว่าทุกคนมีส่วนร่วมที่จะพัฒนาและช่วยให้อุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศก้าวหน้า โดยปัจจุบันมีการลงทุนถึง 700,000 ล้านบาท การจ้างงานถึง 4 ล้านตำแหน่ง การส่งออก 3.3 ล้านล้านบาท และคาดว่าจะถึง 4 ล้านล้านบาทแน่นอน จึงถือว่าเศรษฐกิจไทยผ่านพ้นวิกฤติตกต่ำมาแล้ว ซึ่งรัฐบาลโดยพรรคไทยรักไทยไม่ได้หวังในเรื่องเกี่ยวกับการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจต่าง ๆ มาเป็นบรรทัดฐาน แต่พรรคไทยรักไทยต้องการให้คนไทยและสังคมไทยเท่าเทียมกัน เป็นสังคมที่มีความสุข เป็นสังคมที่ยั่งยืน ซึ่งเป็นสิ่งที่พรรคไทยรักไทยกำหนดกรอบในการหาเสียงและการพัฒนาให้สังคมไทย รวมถึงเศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็งและเกิดความเชื่อมั่นอยู่ที่การพัฒนาระบบสังคมแบบพอเพียง คนไทยพึ่งตนเองและมีพลัง สร้างรายได้ลดรายจ่าย ความเจริญสู่ชนบท สังคมที่เกื้อกูลกัน นอกจากสังคมแบบพอเพียงแล้วก็ต้องพัฒนาสังคมให้มีความสุข

นายสมคิด กล่าวว่า บีโอไอจะต้องกลับไปคิดว่าทำอย่างไรให้สังคมมีความสามารถทั้งการพัฒนาความรู้และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อให้คนไทยสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ ที่สำคัญอย่าเพียงแต่คิดเป็นผู้รับจ้างการผลิตเท่านั้น จะต้องเป็นผู้ผลิตและส่งออก รวมถึงทำตลาดเอง และต้องทำให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยในลักษณะคลัสเตอร์ เมื่อมีการลงทุนแบบคลัสเตอร์ในไทยมากก็จะได้รับการส่งเสริมสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ในอัตราที่สูง แต่หากเข้ามาลงทุนฉาบฉวยก็จะได้รับสิทธิประโยชน์ไม่มาก และนอกจากการพัฒนาสังคมแบบมีความสามารถก็จะต้องดูว่าทำอย่างไรให้ความสามารถพัฒนาเกิดความสมดุล ทำให้ระบบการค้าภายในและการค้าต่างประเทศมีความสมดุลกันและเท่าเทียมกัน รวมทั้งจะต้องพัฒนาสังคมแบบยั่งยืนแบบมีคุณธรรม โดยเป็นการสร้างประโยชน์ให้กับสังคม ผู้ที่จะเข้ามาทำธุรกิจในประเทศจะต้องมีคุณธรรมและจริยธรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่จะพัฒนาสังคมให้ยั่งยืนแบบการพัฒนาเศรษฐกิจแบบครบวงจร โดยสิ่งเหล่านี้เป็นนโยบายของพรรคไทยรักไทยที่ได้ดำเนินการมา 4-5 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น อย่ามาใส่ร้ายป้ายสีเศรษฐกิจประชานิยม เพราะพรรคไทยรักไทยได้ดำเนินการทำทุกอย่างเพื่อให้สังคมไทยมีความสุข

รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวอีกว่า หากดูในกลุ่มเศรษฐกิจอาเซียนที่เติบโตอย่างยั่งยืน อันดับที่ 1 สิงคโปร์ รองลงมาคือมาเลเซียและไทย หากมองกลุ่มประเทศที่น่าเข้ามาลงทุนตามที่องค์การว่าด้วยการค้าและการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (อังค์ถัด) มองไทยเป็นอันดับที่ 3 แต่เจโทรมองไทยเป็นอันดับที่ 1 ที่น่าลงทุน อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ทุกอย่างโดยเฉพาะการเมืองนิ่ง เชื่อว่าต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้นแน่นอน

“การดำเนินการมาครบ 40 ปี ของบีโอไอถือว่าประสบความสำเร็จ ที่สามารถกระตุ้นการลงทุนภายในประเทศจนมาถึงวันนี้ แต่ไม่อยากให้บีโอไอยึดติดกับความสำเร็จเหล่านี้มากเกินไป เพราะโลกปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้น บีโอไอต้องปรับรูปแบบการส่งเสริมการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจแบบยั่งยืน ขณะเดียวกันบีโอไอจะต้องดำเนินการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อนำแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจแบบครบวงจรและยั่งยืนไปปรับใช้ให้เป็นรูปธรรมต่อไป” นายสมคิด กล่าว

http://www2.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx…