โดย เหวง โตจิราการ
ที่มา FB
Weng Tojirakarn
รัฐธรรมนูญฉบับรัฐประหารอำพราง
วันนี้22สิงหาคม2558ตามฤกษ์ของฝ่ายแม่น้ำห้าสาย
จะมีพิธีกรรมส่งมอบรัฐธรรมนูญของ “36มหาปราชญ์” (แม่น้ำสายหนึ่ง)
ให้กับสปช.(แม่น้ำอีกสายหนึ่งของคมช.)
และดูเหมือนว่า ปรมาจารย์ใหญ่ทางด้านกฎหมายของคสช.จะพออกพอใจกับรัฐธรรมนูญฉบับที่จะส่งมอบให้นี้พอสมควร
ผมขอแสดงความเห็นส่วนตัวเพื่อประมวลภาพรวมของรัฐธรรมนูญที่แม่น้ำสองสายจะทำพิธีกรรมส่งมอบแก่กัน
โดยองค์รวมแล้ว ผม สรุปรวบยอดว่า
รัฐธรรมนูญฉบับของ “36มหาปราชญ์”นี้
เป็นรัฐธรรมนูญ “ฉบับรัฐประหารอำพราง”
แสดงออกอย่างชัดเจนที่ มาตรา 260 ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้
ที่กำหนดให้มี คณะรัฐประหาร เอาไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจน
และเป็นการ สถาปนาคณะรัฐประหารที่ ฉลาดแนบเนียน
กล่าวคือได้มาซึ่งอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ โดยไม่ต้องใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจเพื่อโค่นล้มอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารเดิมลงไป
เพียงแต่กล่าวอ้างว่า สถาบันทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญและคณะรัฐมนตรีไม่สามารถยุติกรณีความวุ่นวายได้ คณะกก.ยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติก็จะเข้ามาใช้อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหารในทันทีและถือว่าชอบด้วยกฏหมายและเป็นที่สิ้นสุด(ลอกแบบมาจากมาตรา44ของคสช.)
ซึ่งเงื่อนไขที่กล่าวอ้างนั้นกลุ่มอำนาจนิยมจงใจสร้างให้เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย
ดังเช่นที่เกิดขึ้นเมื่อ 19กันยายน2549 และ เมื่อ 22พฤษภาคม 2557
เพียงแต่ทั้งสองครั้งดังกล่าว ต้องยุ่งยากเดือดร้อนในการเคลื่อนกำลังกองทัพเข้ามาโค่นล้ม อำนาจอธิปไตยของประชาชนลงไปอย่าง “น่าอัปยศอดสูต่อชาวไทยและชาวโลก”เท่านั้น
นอกจากนั้น บทบัญญัติมาตราอื่นๆยังแสดงออกถึง
อำนาจที่เป็นไปตามอำเภอใจของพวกรัฐประหารนิยมโดยไม่จำต้องทำการรัฐประหาร
แต่อยู่ภายใต้ “ประชาธิปไตยระบบรัฐสภาที่มีการเลือกตั้งเป็นเพียงไม้ประดับ”
กล่าวคือ
1.นายกรัฐมนตรีมาจากคนนอกได้
2.ระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมจงใจทำลายการแยกสส.เป็นสองระบบขาดจากกัน
3.สว.กว่าครึ่งมาจากการสรรหา(ในคราวแรกจำนวน123สรรหาโดยคณะรัฐประหารชุดปัจจุบัน)
4.ศาลรัฐธรรมนูญทรงไว้ซึ่งอำนาจในการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญได้
5.การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่สามารถทำได้โดยตรงจากประชาชน ต้องอยู่ภายใต้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ทำให้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่แทบจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย
6.สถาปนาองค์กรอิสระชื่อแปลกๆจำนวนมากซึ่งสรรหาหรือได้มาจากกลุ่มพวกของ “รัฐประหารนิยม”ที่ทรงไว้ซึ่งอำนาจในการบ่อนทำลายอำนาจอธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
แม้กระทั่งการ แต่งตั้งข้าราชการระดับสูงทุกกระทรวงทบวงกรมของประเทศต้องมาจากกลุ่ม “อำนาจรัฐประหารนิยม”ทั้งสิ้น
ดังนั้น แม้จะมีการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมากจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนได้แต่ก็ไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินไปตามสัญญาประชาคมที่ให้กับประชาชนระหว่างหาเสียงเลือกตั้งได้เลย เพราะข้าราชการระดับสูงที่ตั้งมาดังกล่าวย่อมไม่เต็มใจที่จะสนองตอบ หรือจงใจที่จะทำให้ติดขัดไม่ราบรื่น
นี่เป็นเพียงกลุ่มเนื้อหาใหญ่ๆบางประการเท่านั้นเอง
แต่เพียงเท่านี้ก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ภายใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตยนั้น
เนื้อแท้ที่เป็นจริงยังคงเป็น “ปีศาจแห่งการรัฐประหารที่คอยดำรงอยู่เพื่อกุมอำนาจเหนือประชาชนไทยอย่างไม่ยอมถอยห่างไปไหน”เช่นเดิม
ooo
เปิด ร่าง รธน. ม.280 เทียบ ม.44 อำนาจ ‘คณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ’ กับ ‘คสช.’
Sat, 2015-08-22 21:20
ที่มา ประชาไท
หลังจากวันนี้ (22 ส.ค. 58) เว็บไซต์ของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปดาวน์โหลด ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หลังมอบฉบับพิมพ์ให้ สปช. อ่านเตรียมตัวลงมติ 6 ก.ย. นั้น (ดู : ดาวน์โหลดร่าง รธน. หลัง กมธ.ยกร่างส่งให้ สปช. แล้ว)
ทั้งนี้ มาตรา 280 ของร่าง รธน. ซึ่งอยู่ในบทเฉพาะกาล ดังกล่าว ให้อำนาจกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ ซึ่งระบุว่าภายใน 5 ปี นับตั้งแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ถ้ามีความจำเป็นเพื่อรักษาความเป็นเอกราชของชาติ บูรณภาพแห่งดินแดน หรือเพื่อป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือมีกรณีความขัดแย้งอันอาจจะนำไปสู่ความรุนแรงขึ้นในประเทศ ไม่ว่าจะเกิดภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร ทั้งการดำเนินการตามปกติของสถาบันทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญและคณะรัฐมนตรีไม่อาจดำเนินการเพื่อยุติกรณีดังกล่าวได้ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ ซึ่งมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของคณะกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ มีอำนาจใช้มาตรการที่จำเป็นสำหรับจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าวแทนได้ ภายหลังจากที่ได้มีการปรึกษาหารือกับประธานศาลรัฐธรรมนูญและประธานศาลปกครองสูงสุดแล้ว โดยเมื่อดำเนินการดังกล่าวแล้วให้ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ มีอำนาจสั่งการ ระงับ ยับยั้ง หรือกระทำการใดๆ ได้ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติหรือในทางบริหาร และให้ถือว่าคำสั่ง การกระทำ และการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้และกฎหมาย และเป็นที่สุด
ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงกับ มาตรา 44 ใน รธน. ฉบับชั่วคราว 2557 ที่ให้อำนาจกับหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดบระบุว่า ในกรณีที่หัวหน้า คสช. เห็นเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์ ในการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ การส่งเสริมความสามัคคีและความสมานฉันท์ของประชาชนในชาติ หรือเพื่อป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร ให้หัวหน้า คสช. โดยความเห็นชอบของ คสช. มีอำนาจสั่งการ ระงับยับยั้ง หรือกระทำการใด ๆ ได้ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำ รวมทั้งการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว เป็นคำสั่ง หรือการกระทำ หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้และเป็นที่สุด ทั้งนี้เมื่อได้ดำเนินการดังกล่าวแล้ว ให้รายงานประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว
สำหรับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ นั้น ระบุไว้ใน ม.260 ว่า ประกอบด้วยประธานกรรมการ 1 และกรรมการจำนวนไม่เกิน 22 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์แต่งตั้งจากบุคคลดังต่อไปนี้
1. กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา นายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
2. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งแต่งตั้งจากผู้เคยดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภา นายกฯ ประธานศาลฎีกา ซึ่งเลือกกันเองในแต่ละประเภท ประเภทละ 1 คน และ
3. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกิน 11 คน ซึ่งแต่งตั้งตามมติรัฐสภา จากผู้ซึ่งมีความเชียวชาญในการปฏิรูปด้านต่างๆ และสร้างความปรองดอง
และให้กรรมการเหล่านั้นเลือกผู้มีความเหมาะสมคนหนึ่งให้เป็นประธานกรรมการฯ
Sat, 2015-08-22 21:20
ที่มา ประชาไท
หลังจากวันนี้ (22 ส.ค. 58) เว็บไซต์ของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปดาวน์โหลด ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หลังมอบฉบับพิมพ์ให้ สปช. อ่านเตรียมตัวลงมติ 6 ก.ย. นั้น (ดู : ดาวน์โหลดร่าง รธน. หลัง กมธ.ยกร่างส่งให้ สปช. แล้ว)
ทั้งนี้ มาตรา 280 ของร่าง รธน. ซึ่งอยู่ในบทเฉพาะกาล ดังกล่าว ให้อำนาจกับคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ ซึ่งระบุว่าภายใน 5 ปี นับตั้งแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ถ้ามีความจำเป็นเพื่อรักษาความเป็นเอกราชของชาติ บูรณภาพแห่งดินแดน หรือเพื่อป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายความสงบเรียบร้อยหรือความมั่นคงของชาติ ราชบัลลังก์ เศรษฐกิจของประเทศ หรือมีกรณีความขัดแย้งอันอาจจะนำไปสู่ความรุนแรงขึ้นในประเทศ ไม่ว่าจะเกิดภายในหรือภายนอกราชอาณาจักร ทั้งการดำเนินการตามปกติของสถาบันทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญและคณะรัฐมนตรีไม่อาจดำเนินการเพื่อยุติกรณีดังกล่าวได้ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ ซึ่งมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของคณะกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ มีอำนาจใช้มาตรการที่จำเป็นสำหรับจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าวแทนได้ ภายหลังจากที่ได้มีการปรึกษาหารือกับประธานศาลรัฐธรรมนูญและประธานศาลปกครองสูงสุดแล้ว โดยเมื่อดำเนินการดังกล่าวแล้วให้ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ มีอำนาจสั่งการ ระงับ ยับยั้ง หรือกระทำการใดๆ ได้ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติหรือในทางบริหาร และให้ถือว่าคำสั่ง การกระทำ และการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้และกฎหมาย และเป็นที่สุด
สำหรับคณะกรรมการยุทธศาสตร์ฯ นั้น ระบุไว้ใน ม.260 ว่า ประกอบด้วยประธานกรรมการ 1 และกรรมการจำนวนไม่เกิน 22 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์แต่งตั้งจากบุคคลดังต่อไปนี้
1. กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ ประธานรัฐสภา ประธานวุฒิสภา นายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
2. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งแต่งตั้งจากผู้เคยดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภา นายกฯ ประธานศาลฎีกา ซึ่งเลือกกันเองในแต่ละประเภท ประเภทละ 1 คน และ
3. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกิน 11 คน ซึ่งแต่งตั้งตามมติรัฐสภา จากผู้ซึ่งมีความเชียวชาญในการปฏิรูปด้านต่างๆ และสร้างความปรองดอง
และให้กรรมการเหล่านั้นเลือกผู้มีความเหมาะสมคนหนึ่งให้เป็นประธานกรรมการฯ