วันพฤหัสบดี, ตุลาคม 30, 2557
ชูวิทย์ I'm No.5 ทีใครทีมัน
ที่มา FB ชูวิทย์ I'm No.5
วลีคุ้นหูที่คนไทยทุกคนได้ยินตั้งแต่เด็ก เมื่อเวลาหนึ่ง ฝ่ายหนึ่งได้เปรียบ พอเวลาผ่านไป ก็เป็นจังหวะของอีกฝ่ายหนึ่ง ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เรียกว่า “ทีใครทีมัน”
ลองพิจารณาดูว่าจริงไหม?
1. สปช. ไม่เอาคนนอกเข้าร่วมคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ (สมัยก่อนพูดเสียดิบดี “ต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม แม้ว่าจะเป็นเสียงของประชาชนส่วนน้อยก็ต้องรับฟัง” แต่พอมีอำนาจเข้าหน่อยดันบอก “คนนอกไม่เกี่ยวนะจ๊ะ”)
2. สนช. และ สปช. ได้รับเงินเดือนตอบแทนและสวัสดิการ รวมทั้งจำนวนที่ปรึกษา ผู้ติดตาม เหมือน ส.ส. และ ส.ว. ทุกประการ (จะปฏิรูปทุกๆด้าน แต่พอถึงคราวตัวเอง ได้รับอภิสิทธิ์เช่นเดียวกับ ส.ส. และ ส.ว. คราวนี้ปิดปากเงียบ ไม่ร้องสักแอะว่าเงินเดือน ผลประโยชน์มากเกินไป)
3. สนช. เปรียบเสมือน ส.ส. ส่วน สปช. เปรียบเสมือน ส.ว. (แต่ทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ตอนเข้ารับตำแหน่งต้องยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน ไปๆมาๆ ป.ป.ช. บอกว่า สปช. ไม่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน เพราะเป็นตำแหน่งทางวิชาการ ให้มันได้เสียอย่างนี้สิ คนดีไม่ต้องตรวจสอบ)
4. สมัยพรรคเพื่อไทยมีอำนาจเป็นรัฐบาล ผลักดัน “กฎหมายนิรโทษกรรม” เข้าสภา (ตอนตัวเองมีอำนาจก็มันมือ พอตอนนี้อำนาจหายโดนหางเลขเป็นแถว เรียงกันเป็นลูกระนาดตั้งแต่ยิ่งลักษณ์ สมศักดิ์ นิคม ยันจารุพงศ์ ไม่รู้ป่านนี้หายมึนหรือยัง?)
5. นโยบายที่เคยด่าเขาว่า “ประชานิยม” และสารพันโปรเจ็คที่จะเดินหน้าใหม่ (เริ่มต้นก็แจกเงินชาวนา 1,000 บาทต่อไร่ นี่มันไม่ประชานิยมตรงไหน? ล็อตเตอรี่ 80 บาทก็ทำไม่ได้ ขาย 100 เท่าเดิม ส่วนเรื่องพลังงานทำไปทำมาก็คงเข้าอีหรอบเดิม)
ดูเอาแล้วกัน อย่างนี้เขาเรียกว่า “ทีใครทีมัน”
ตอนนั้นอุตส่าห์ไปม็อบ เดินเป่านกหวีด ตากแดด ตากฝน กินข้าวกลางถนน เต้นแร้งเต้นกา
ตอนนี้ผู้นำประท้วงหนีไปบวช ส่วนที่เหลือเป่าสากแทนเป่านกหวีดกันหมด