วันเสาร์, ตุลาคม 25, 2557

ชีวิตนักกิจกรรมการเมือง กับการรับมือเมื่อถูกโจมตีเพื่อดิสเครดิตต่างๆ

จรรยา ย้ิมประเสริฐ
25 ตุลาคม 2557




คงเป็นเช่นเดียวกับหลายคน พอได้ข่าวหรือเห็นข่าวการโจมตีตัวเองอย่างหยาบช้าและไร้ข้อเท็จจริง ก็จะรู้สึกโกรธและสะเทือนใจขึ้นมา โดยเฉพาะถ้ามาจากกลุ่มคนที่อ้างว่าต่อสู้เพื่อประชาชนเช่นเดียวกัน
กระแสโจมตีผมและนักกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรณรงค์ทางการเมือง โดยเฉพาะเรื่องยกเลิกมาตรา 112 และปล่อยนักโทษการเมืองมีมาอยู่เนื่องๆ เจอกันเกือบทุกคนที่อาจหาญมาทำกิจกรรมในเรื่องเหล่านี้

หลังการประท้วงที่มิลาน แน่นอนผมถูกโจมตีอย่างหนัก อย่างหยาบคายด้วยข้อกล่าวหาที่ใช้โจมตีกันมาตลอดทุกคนว่า "อยากดัง" "รับจ้างทำงานการเมือง" และมักพ่วงมาด้วยเรื่อง "เพศ" เพราะคนโจมตีคิดว่าการโจมตีใครก็ตามในเรื่อง "เด่นดัง" เรื่อง “เงิน” และเรื่อง "วิถีเพศ" มักจะทำลายความน่าเชื่อถือของคนได้สำเร็จเสมอ

ผมจึงคิดว่าจำเป็นจะต้องเขียนตอบในประเด็นเหล่านนี้อย่างจริงจังเสียที เพราะเรื่องการพยายามโจมตีนักกิจกรรมคนตัวเล็กตัวน้อยที่ใจใหญ่และไม่มีเงินทั้งหลายนั้น เป็นปัญหาที่สร้างความยากลำบากให้กับคนทำกิจกรรมจำนวนมากมาโดยตลอด โดยเฉพาะเมืองไทยในช่วงหลังรัฐประหาร 2549 ที่แนวหน้าในการเรียกร้องประชาธิปไตยและต้านรัฐประหาร ที่ทำงานกันอย่างหนักและอย่างต่อเนื่อง คือนักกิจกรรมคนเล็กคนน้อยจำนวนมากมาย ที่มีความมุ่งมั่น และทำการรณรงค์เพื่อเมืองไทยอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย ด้วยความเสียสละ แม้ว่าตอนนี้หลายคนต้องติดคุก หลายคนต้องลี้ภัยอยู่ต่างแดน กระนั้น พวกเขาก็ยังมุ่งมั่นที่จะทำการต่อสู้เพื่อเมืองไทยมีเสรีภาพและเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ...

ยิ่งเมื่อต้องลี้ภัยใจของพวกเขายิ่งมุ่งมั่น แต่ในสภาพผู้ลี้ภัยที่ไม่อาจทำงานหาเงินได้เหมือนเดิม พวกเขายิ่งติดขัดเรื่องงบประมาณในการทำงาน แต่การจะขอระดมทุนเพื่อการทำงานกันก็เป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อต้องตกเป็นเป้าถูกโจมตีเรื่อง "เงิน" กันโดยตลอด ก็ทำให้หลายคนเหนื่อยล้า ไม่อยากขอการสนับสนุนเพื่อทำงานการเมืองไทย นั่นก็หมายถึงการหยุดทำกิจกรรม หรือไม่อาจทำกิจกรรมใด ที่อาจจะส่งผลสะเทือนสูงได้มากนัก เพราะหลายกิจกรรม ที่แม้ไม่ต้องใช้เงินมาก แต่ก็ต้องใช้เงินเหมือนกัน ...

เมื่อหยุดทำกิจกรรม ก็ไม่มีกระแสการต่อต้านเผด็จการ ออกมาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ...

ใครกันที่จะได้ประโยชน์ ถ้าคนตัวเล็กตัวน้อยแถวหน้าเหล่านี้หยุดเคลื่อนไหว หรือหยุดต่อสู้?

เรื่องการรับการสนับสนุนเพื่อการรณรงค์การเมือง จึงเป็นจำเป็น และกลุ่มองค์กรหรือปัจเจกที่รับการสนับสนุน ก็ต้องรัดกุมและโปร่งใสเรื่องการใช้เงิน เพราะมันเป็นจุดอ่อน ที่ทำให้ตกเป็นเป้าแห่งการโจมตีกันได้อย่างง่ายๆ มาโดยตลอด

สำหรับตัวผม เมื่อตัดสินใจไม่กลับเมืองไทยเพราะบทความ "ทำไมถึงไม่รักในหลวง" และอยู่ยุโรปใหม่ๆ เมื่อกลางปี 2553 ผมคิดและทำแต่เรื่องการทำงานรณรงค์เพื่อเมืองไทย และในฐานะของคนที่ทำงานด้านสังคมเพื่อช่วยเหลือคนที่ถูกเอาเปรียบและเพื่อสิทธิและเสรีภาพมาโดยตลอดชีวิตการทำงาน ผมจึงคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะระดมทุนเพื่อให้ใช้ชีวิตและทำงานเรื่องเมืองไทยได้อย่างต่อเนื่อง - แม้ว่าเมื่อต้องลี้ภัยอยู่ในยุโรป - เพื่อนฝูงหลายคนแนะนำว่า น่าจะลองหาการสนับสนุนและทำงานกับคนไทยที่ยุโรป เพื่อรวมตัวกันต่อสู้เพื่อประเทศไทย

ผมไม่ใช่คนแรกที่คิดเช่นนี้ ผู้ลี้ภัยการเมืองหลายคน คิดแบบเดียวกันนี้ และก็เจ็บปวดกันไปหลายคน เพราะคนไทยที่ต่างแดน นำเรื่องการขอรับเงินสนับสนุนไปกล่าวหาโจมตีกันบ่อยครั้ง และปั่นตัวเลขกันจนเงินร้อย เป็นเงินพัน เงินหมื่น เงินแสน หรือเงินล้าน ... เพราะการไม่เข้าใจในอุดมการณ์และยุทธวิธีในการทำงาน และใช้จุดอ่อนเรื่องการขอรับการสนับสนุนเพื่อมาทำงาน เป็นข้อโจมตี
ผมเองก็คิดผิด ที่เอาวิธีการคิดเรื่องการระดมทุนเพื่อการอยู่ในยุโรปและสามารถทำงานรณรงค์ทางการเมืองไทยไปได้ด้วย มาเป็นจุดเร่ิมต้นทำงานกับคนไทยที่ต่างแดน ที่ยังไม่รู้จักกัน และไม่มีความเข้าใจวิธีคิดและอุดมการณ์ทำงานของนักกิจกรรมที่ต้องระดมทุนเพื่อการทำงานการเมืองดีพอ และพวกเขายังไม่อาจเปลี่ยนวิถีความคิดเรื่อง "ทำบุญไถ่บาปกับพระ" มาสู่ "การสนับสนุนคนหรือกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง" ได้

ปัญหาเรื่อง "เงิน" ที่เมื่อใส่ร้ายป้ายสีใคร ยังไงมันก็ส่งผลกระทบแน่ๆ เพราะสังคมไทยมีบทเรียนให้เห็นรอบตัวเรื่องการไม่โปร่งใสในการระดมเงินเพื่องานกิจกรรม ...

ปัญหาเรื่องนี้ เป็นปัญหาที่ผมตระหนักถึงได้ และเข้าใจว่าการทำงานสาธารณะจำเป็นต้องโปร่งใส โดยเฉพาะเมื่อมีการระดมทุนเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมจึงป้องกันตัว ด้วยการทำรายงานการใช้จ่ายเงินไว้อย่างรอบคอบ เพราะถ้ามีปัญหาแบบนี้ เพื่อจะได้มีหลักฐานยืนยัน อาทิ การได้รับสนับสนุนจากกลุ่มยุโรปในการพยายามก่อตั้งและดำเนินกิจกรรมร่วมกันในนาม "สหภาพเพื่อประชาธิปไตยประชาชน" ผมทำรายกิจกรรมและรายงานการใช้จ่ายชัดเจน และได้ส่งรายงานนี้ให้แกนนำทุกคนได้รับทราบด้วย เงินที่ผมรับมา 1,504 ยูโร ที่ผมได้ทำรายงานการใช้จ่ายอย่างละเอียดส่งให้กรรมการสหภาพทุกคนได้รับทราบเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2554 แต่กระแสการพูดโจมตีผมด้วยเรื่องเงินสนับสนุนครั้งนั้น ที่ยิ่งนานวันยิ่งถูกปั่นตัวเลขสูงจนน่าตกใจ เพื่อนำมาใช้โจมตีกันด้วยเรื่องนี้ (ดูรายงานการเงินประกอบท้ายบทความ)

นับตั้งแต่ปี 2554 ผมเปิดรับเงินที่เป็นเงินในรูปแบบการทำงานกลุ่มหลักๆ มา 3 ครั้ง และทุกครั้งผมทำรายงานการเงินชี้แจงหลังเสร็จสิ้นโครงการ (แน่นอนว่ามีเพื่อนและสหายส่งความสนับสนุนและช่วยเหลือผมในนามส่วนตัว เพื่อสนับสนุนให้ผมทำงานต่อเนื่อง ซึ่งผมขอบคุณทุกคนเป็นอย่างสูง)
  1. การรณรงค์รวมตัวคนไทยที่ยุโรปในนาม "สหภาพเพื่อประชาธิปไตยประชาชน" และจัดกิจกรรม Global Day of Action for Democracy in Thailand ได้รับเงินสนับสนุน 1,504 ยูโร, 2554 ( 60,160 บาท) 
  2. การระดมทุนร่วมกับไทยอีนิวส์เพื่อคน 112 ที่ลี้ภัยต่างแดน, 2556 ( 77,730.42 บาท) 
  3. การขอการสนับสนุนการประท้วงประยุทธ์ จันทร์โอชา, 16 ตุลาคม 2557  (559 ยูโร หรือ 22,360 บาท) (ดูเอกสารประกอบท้ายบทความ)

เรื่องคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112

การพากันกล่าวหาไม่เลิกลาว่า ผมไม่ถูกดำเนินคดีมาตรา 112 เรื่องนี้ก็แทบจะไม่ต้องอธิบาย ผมได้พูดเขียนถึงไปหลายครั้งแล้ว การโจมตีผมด้วยเรื่องนี้อยู่จนถึงขณะนี้ ก็ด้วยเหตุผลประการเดียวคือ "ผมลี้ภัยอยู่เมืองนอก และไม่ยอมกลับไปติดคุกในเมืองไทย" เพื่อมีเรื่องให้พวกเขาได้พูดรณรงค์เรื่องผมติดคุกเท่านั้นเอง

การเป็นนักกิจกรรมการเมืองในโลกอินเตอร์เนต เราจำเป็นต้องหนักแน่น

การจัดรายการทางอินเตอร์เนต ที่ใช้ภาษาหยาบคายโจมตีคนอื่น ด้วยข้ออ้างว่า จริงใจ (แต่ไม่เข้าใจวิถีการทำกิจกรรมทางการเมือง) เป็นเรื่องที่นักพูดทุกคนควรจะต้องระมัดระวังเรื่องที่มาของข้อมูลที่ไม่ได้ตรวจสอบด้วยเช่นกัน ยิ่งถ้ามุ่งเสาะแสวงหาข้อมูลจากฝ่ายตรงข้ามคู่กรณีเป็นหลัก เพียงเพื่อมาใช้ประโยชน์ในการพูดเพื่อความสะใจประการเดียว โดยไม่ยอมดูภาพรวมหรือบริบทแห่งการต่อสู้ของคนผู้นั้น ก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ผู้ฟังจะต้องใช้วิจารณญาณในการฟังกันเอาเองด้วย

ผมเคยพูดคุยกับนักจัดรายการวิทยุการเมืองออนไลน์ หลายคน และเห็นเจตนาดีของพวกเขาที่ต้องการใช้เสรีภาพนอกอาณาเขตประเทศไทย แต่ปัญหาที่ผมเห็นคือ การจัดรายการที่ต้องมันส์ สะใจ เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้ฟัง ที่ท้ายที่สุด มันคุมประเด็นไม่ได้ และก็ไหลลื่นไปกับการเล่นกับวิถีที่เขาคิดว่า "เป็นวิถีที่จะได้รับความนิยมจาก "ชาวบ้าน" นั่นคือต้อง "สร้างศัตรู" ขึ้นมาเพื่อโจมตี และเมื่อเริ่มแล้ว มันก็ต้องเลยตามเลย ต้องหาเรื่องมาโจมตีกันแบบกัดไม่ปล่อย เมื่อจิกกัดฝ่ายอำมาตย์กันหมดเรื่องคุยแล้ว ก็มาดูกันเอง จิกกัดกันเอง และโจมตีคนที่ทำกิจกรรมทางการเมืองโดดเด่น โดยการอ้างว่า เป็นชาวบ้าน ความรู้น้อย แต่จริงใจ จึงหยาบคายได้ ... และที่สำคัญคือ อัตตามนุษย์ก็ทำให้ "นำเสนอข้อขัดแย้งให้ผู้ฟังได้พิจารณา กันไม่เป็นอีกเช่นกัน" ...

  • เป็นชาวบ้านต้องหยาบคายหรือ?
  • เป็นชาวบ้านต้องพูดอะไรก็ได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบคำพูดหรือ?
  • เป็นชาวบ้านต้องพูดอะไรก็ได้โดยไม่ตรวจสอบข้อมูลหรือ?
  • เป็นชาวบ้านต้องโจมตีใครก็ได้โดยไม่สนใจข้อเท็จจริงเพื่อสร้างความเสียหายให้กับคนที่ไม่ชอบ กระนั้นหรือ?

มันจำเป็นต้องคิดวิธีการระดมทุน เพื่อทำการต่อสู้เพื่อปลดแอกเผด็จการได้ต่อเนื่อง

ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ผมพยายามหาเงินสนับสนุนเพื่อที่ผมจะได้ต่อสู้กับเผด็จการของเมืองไทย ผมมีเงื่อนไขการขอรับการสนับสนุนจนเป็นที่รับรู้กันอย่างดีว่า "ต้องไม่มีเงื่อนไขให้อวยใครทั้งนั้น" และก็ใช้ชีวิตในต่างแดนอย่างค่อนข้างขัดสนจริง เพราะค่าใช้จ่ายที่ยุโรป/ฟินแลนด์ นั้นแพงมาก ยิ่งผมดื้อดึงที่จะยังคงทำงานเขียนและงานรณรงค์เรื่องเมืองไทยอย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้ผมประสบปัญหาทางการเงินอยู่เนืองๆ ผมจึงคิดเรื่องจัดพิมพ์หนังสือที่เขียนทั้ง "แรงงานอุ้มชาติ" และ "เปลื้องผ้าและไม่ไทยเลย" เพื่อระดมทุนใช้อยู่อาศัยและได้ทำกิจกรรมเรื่องเมืองไทยต่อเนื่อง แต่มันก็ค่อนข้างจะประสบความล้มเหลว เพราะชื่อเสียงเรื่องถูกข้อหา 112 ของผม ไม่ช่วยเรื่องการขายหนังสือได้ดีนัก

เมื่อขายหนังสือล้มเหลว เมื่อต้นปี 2013 ผมจึงเปิดรับการสนับสนุนให้คนโอนเข้าบัญชี paypal ทางสาธารณะที่หน้าเวบของตัวเอง แต่ไม่มีใครสนับสนุนเข้ามาทางสาธารณะ นอกจากเพียงเพื่อนฝูงที่ส่งเงินมาช่วยเป็นบางช่วงเท่านั้น และก็เป็นเงินแค่หลักพัน ไม่ใช่เป็นแสนเป็นล้าน ตามที่พยายามจะโจมตีให้ร้ายกัน

สี่ปีที่ผ่านมา ผมจึงอยู่ได้ด้วยความสนับสนุนของเพื่อนๆ ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศเป็นหลัก ทั้งเงินที่สนับสนุนและเงินที่ให้กู้ยืม เพราะพวกเขาเข้าใจในสิ่งที่ผมพยายามทำ ถ้าสิ่งที่ผมทำมีคุณูปการใดบ้างต่อประเทศไทย เพื่อนผมเหล่านี้ที่สนับสนุนผม เป็นกลุ่มคนหนึ่งที่สมควรได้รับคำขอบคุณ

สรุป

แม้ว่าการโจมตีนักกิจกรรมการเมืองที่ถูกหมายหัวว่า "ไม่รักเจ้า" ส่วนใหญ่ จะเอาวิถีคิดแบบไทยๆ เรื่อง "บุญ-บาป" หรือวิถี "ละครน้ำเน่า" ทั้งเรื่อง "วิถีเพศหญิง-เพศชาย" มาพูดกล่าวหา โดยการคิดว่าถ้าเล่นงานกันในแง่ของศีลธรรมดัดจริตแบบไทย จะสามารถจานหรือทำลายชื่อเสียงได้ หรือเพราะคิดว่าจะก่อให้เกิดความสะใจในหมู่ผู้ฟังได้ รวมทั้งจะสร้างความเสียหายและการเสื่อมเสียชื่อเสียงของคนที่ถูกโจมตีได้ โดยอ้างว่าการพูดนั้นไม่มุ่งหวังประโยชน์ใด แต่ทำไปเพราะรักฯ ก็ตาม ... หรือทำไปเพราะยึดมั่นในหลักการแห่งสิทธิมนุษยชนหรือหลักการแห่งเสรีภาพก็ตาม ..เป็นเรื่องที่ผู้ฟังที่มีวิจารณญาณต้องคิดวิเคราะห์กันไปด้วย

แน่นอนว่า ทุกการทำงานกิจกรรมหรืองานรณรงค์เรื่องใด มันก็ต้องใช้ทั้งทักษะและการค้นคว้า นักต่อสู้แถวหน้าทุกคน คงไม่อาจนำเสนอปัญหาของประเทศไทย ปัญหาของการเมืองไทย และปัญหาของการรัฐประหารไทยได้โดยไม่ทุ่มเทเวลาไปการศึกษาค้นคว้าและการเขียนวิเคราะห์

ถ้าจะมัวติดกับเรื่องที่ผมหรือใครก็ตาม ต้องขอรับเงินสนับสนุนทำงาน เพราะผมหรือใครก็ตาม ไม่มีสมบัติพ่อแม่หรือมีทรัพย์สินที่มั่งคั่ง โดยไม่สนใจที่จะมองเนื้อหาสาระงานที่ผมหรือคนๆ นั้นทำ หรือโดยไม่สนใจสาระแห่งสิ่งที่สื่อสะท้อนออกไป หรือไม่มองที่ประสิทธิผลของงานรณรงค์ ที่เผยแพร่สู่สาธารณชน ... นั่นก็เป็นสิ่งที่ผมไม่อาจห้ามความคิดของทุกคนได้

ผู้อ่านจำนวนไม่น้อยรู้จักผม รวมทั้งรู้จักหลายๆ คนที่ถูกโจมตีหรือโจมตีกัน ทั้งจากพวกเดียวกัน และจากคนคลั่งเจ้า ถ้ายังมีเรื่องกังขาต่อกันด้วยเจตนาอันบริสุทธ์ ผมขอเสนอว่า หันหน้ามาซักถามกันตรงๆ จะดีกว่านะครับ อย่าเล่นกระแสสาธารณะ เพื่อหวังผลแห่งการหาแนวร่วมมาทำลายกันเลย - เพราะลึกๆ เราก็รู้กันดีว่า ใครกันคือคนที่ร่ำรวยบนการเหยียบบ่านักต่อสู้ระดับล่างเพื่อขึ้นสวามิภักดิ์ต่อผู้มีอำนาจเบื้องบน -
ยิ่งในสถาการณ์การเมืองปัจจุบัน คนที่เราสมควรจับผิดหรือตอบโต้ คือคนที่กำลังบ่อนแทะทำลายประเทศไทย และโกงกินกันอย่างเป็นลำเป็นสัน กันหลายสิบ หลายร้อย หรือหลายหมื่นล้านในปัจจุบันต่างหากล่ะ

เรามาแสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง พยายามทำกิจกรรมกันด้วยความรัดกุม โปร่งใสเท่าที่ทำได้ ในการต่อสู้เพื่อปลดแอกศักดินาครั้งนี้ ที่นักต่อสู้ทุกคนแถวหน้า ต้องทำงานกันหนักหน่อย ไหนจะต้องคิดถึงยุทธศาสตร์การต่อสู้ที่แหลมคม สร้างสรรค์ ใช้เงินไม่มาก และสันติวิธี แล้วยังต้องทำตัวโปร่งใสเพื่อเป็นแบบอย่างให้กับสังคม ที่ต้องการเห็นฟื้นคืนความมั่นใจและความเชื่อถือบุคคลสาธารณะกันขึ้นมาได้อีกครั้งไปพร้อมๆ กันด้วยเช่นกัน

มันเป็นภาระที่หนักหน่วงที่พวกเราต้องแบกรับ ถ้าต้องการต่อสู้เพื่อประเทศชาติ เพราะอนาคตของประเทศขึ้นอยู่กับการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนต่อวิถีประชาธิปไตย ไม่ใช่เพื่อการเอาหน้าจากใครที่มีอำนาจหรืออยู่เบื้องบน

ขอเป็นกำลังใจให้นักต่อสู้เพื่อปลดแอกเผด็จการทุกคน!

* * * * * * * * *

เอกสารประกอบ

รายงานค่าใช้จ่ายในการระดมเงินเพื่อกิจกรรมการเมืองไทย 3 ครั้ง 

1. การรณรงค์ร่วมปฏิบัติการทั่วโลกเพื่อประชาธิปไตยในประเทศไทย 19 กันยายน 2554 ( Global Day of Action for Democracy in Thailand, 19 September 2011) ได้รับการสนับสนุน 1,504 ยูโร
2. รายงานการเงิน กรณีระดมทุนเพื่อผู้ไม่ยอมจำนนต่อมาตรา 112


* * * * * * * * *
Photo by Eugenio Morongiu 

3. ค่าใช้จ่ายในการประท้วงประยุทธ์ จันทร์โอชา 16 ตุลาคม 2557ที่มิลาน รวมทั้งสิ้น 559 ยูโร

ถูกกว่าค่าโรงแรมหนึ่งคืนของประยุทธ์อีกนะครับ (คืนละประมาณ 700 ยูโร)

แต่ทำให้ประยุทธ์นอนไม่หลับและต้องหลบตาผู้นำนานาชาติตลอดการประชุม

------------------

รายงานการเงินค่าใช้จ่ายในการประท้วงประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มิลาน

เงินสนับสนุน (Euro)

พี่สาวที่อังกฤษ 202
น้องๆ จากเมืองไทย 188
พี่ชายจากนรเวย์ 150 (ยังไม่ได้ไปรับเงิน)
พี่เล็กจากมิลาน 50
รวม 590 Euro

ค่าใช้จ่าย
ค่าพิมพ์สติกเกอร์และโปสเตอร์ 125
ค่าอุปกรณ์ทำป้ายประท้วง 50
ค่าถ่ายภาพและวีดีโอ 100
ค่าการสื่อสาร 50
ค่าเดินทาง 102
ค่าอาหารและเครื่องดื่ม 132

รวม 559 Euro
----------------- 

พวกเราใช้เงินประท้วงประยุทธ์กันแค่ 559 ยูโร เท่านั้นเองครับ

ไม่มีนายใหญ่ ไม่มีนายทุ่ม และไม่มีนายทุน!