วันศุกร์, กุมภาพันธ์ 24, 2566

นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ vs นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหญ่


Fahroong Srikhao ฟ้ารุ่ง ศรีขาว
11h
วันนี้รับบท... (นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหญ่ ?)
https://www.facebook.com/100064582216937/posts/579143830915019/?mibextid=cr9u03
.....
.....

Thanathorn Juangroongruangkit - ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
· 6h
[ นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ : แถวหน้าผู้ชี้ชะตาอนาคตประเทศไทย ]
.
วันนี้ ผมได้รับเกียรติจากคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ได้เชิญผมให้มาร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีมอบเหรียญ “อะตอม” สัญลักษณ์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ฯ ประจำปีการศึกษา 2565 พร้อมให้เกียรติกับผมได้บรรยายในประเด็นเกี่ยวกับการปรับตัวและรับมือของนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ในยุค Technology Disruption
.
ในวันที่คนรุ่นใหม่จำนวนมากรู้สึกสิ้นหวังกับอนาคตของประเทศ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่สิ่งนี้เองก็เป็นความรู้สึกเดียวกันของนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ฯ มธ. ที่ผมได้พบเจอในวันนี้ เมื่อผมถามพวกเขาว่ามีใครบ้างที่มั่นใจว่าเมื่อตัวเองเรียนจบไป จะมีอนาคตที่สดใส หางานที่มั่นคง ตั้งตัวได้ เลี้ยงพ่อแม่ สร้างครอบครัว และมีใครบ้างที่คิดว่าตัวเองจะหางานที่ดีได้ลำบาก มองไม่เห็นทางที่ชีวิตจะมีความมั่นคงพอสร้างครอบครัวได้
.
ซึ่งปรากฏว่านักศึกษาส่วนใหญ่ยกมือตอบอย่างหลัง เป็นคำตอบเดียวกันกับนักศึกษาทุกคลาสเรียนที่ผมได้ไปบรรยายมา และผมได้ถามคำถามเดียวกันนี้กับพวกเขา
.
ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยครับ ในสภาวะที่ประเทศไทยทุกวันนี้ไม่สามารถสร้างงานที่มีคุณภาพมากไปกว่าสิ่งที่เป็นมาตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมาได้ อุตสาหกรรมเก่าๆ ภาคการท่องเที่ยวและบริการแบบเก่าๆ ไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศไทยไปได้มากกว่านี้แล้ว ตำแหน่งงานที่มีรายได้ดี ในบริษัทที่มีความมั่นคง เปิดรับเด็กจบใหม่ทั้งประเทศอยู่ที่ไม่เกินปีละ 3-4 หมื่นตำแหน่งเท่านั้น และต่อให้เด็กจบใหม่เหล่านั้นได้เข้าไปทำงานในตำแหน่งเหล่านั้น แต่ด้วยอัตราเงินเดือนที่ขึ้นตามรอบปกติ เมื่ออายุถึง 30 ปี อาจจะมีเงินเดือนอยู่ที่ซัก 3-6 หมื่น ซึ่งต่อให้สองคนสามีภรรยารวมกัน ก็ยังไม่สามารถผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ส่งลูกเรียนในโรงเรียนดีๆ ได้
.
จึงไม่ต้องแปลกใจเลย ที่คนรุ่นใหม่ๆ จะมีลูกน้อยลง เพราะงานที่ดีพอจะรองรับให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ มีน้อยเกินกว่าจำนวนประชากรแรงงานรุ่นใหม่หลายเท่านัก
.
แต่ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้เอง ผมถึงย้ำกับนักศึกษาทุกคนเสมอหลังจากถามคำถามนี้ไป ว่าขอให้พวกเขาอย่าเพิ่งสิ้นหวังหมดหวังจนย้ายประเทศกันไปไหนหมด เพราะพวกเขาเองคือคนกลุ่มเดียวที่จะสามารถกอบกู้อนาคตของประเทศนี้ขึ้นมาได้ โดยเฉพาะนักศึกษาที่จะมาเป็นอนาคตนักวิทยาศาสตร์ ที่นั่งอยู่ในห้องบรรยายกับผมวันนี้
.
นั่นเพราะในสถานการณ์ที่ประเทศไทยได้เข้าสู่สภาวะสังคมสูงวัยอย่างเป็นทางการแล้ว และเด็กเกิดใหม่ก็ลดจำนวนลงอย่างน่าใจหาย จาก 1 ล้านคนต่อปีเมื่อ 15-20 ปีที่แล้ว มาเป็น 5 แสนคนต่อปีในปัจจุบัน บทบาทของนักวิทยาศาสตร์จะยิ่งมีความสำคัญอย่างมาก
.
แนวโน้มอนาคตของประเทศที่ยากจะหนีพ้น คือการที่ประชากรวัยทำงานหนึ่งคนก็จะต้องแบกรับภาระในการดูแลประชากรวัยเด็กและผู้สูงวัยมากขึ้น รายจ่ายของประเทศจะมากขึ้นจากการต้องดูแลเด็กและผู้สูงอายุที่มากขึ้น แต่ภาษีที่เก็บได้จะน้อยลงจากประชากรวัยทำงานที่ลดลง
.
ทางออกเดียวของประเทศไทยจากสถานการณ์ขาดแคลนประชากรวัยทำงานในอนาคตนี้มีแค่สองทางเลือก คือ (1) การเปิดให้แรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานมากขึ้น หรือ (2) การเพิ่มผลิตภาพต่อหัวแรงงานของคนไทย เพิ่มมูลค่าในตลาดโลกจากงานที่คนไทยทำ
.
สำหรับผมแล้ว ทางเลือกหลังเป็นทางเลือกที่ดีกว่าแน่นอน แต่จะทำเช่นนั้นได้ สิ่งที่จำเป็นมากๆ คือประเทศไทยต้องมีเทคโนโลยีที่ทันโลกเป็นของตัวเองให้ได้ ซึ่งก็จะต้องอาศัยเครื่องมือหลักคือวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และคนอย่างนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ฯ ทุกคนนี่เอง ก็คือคนที่ต้องอยู่แถวหน้าของการพัฒนาประเทศ
.
ประเทศไทยมีปัญหามากมาย แต่นั่นก็คือโอกาสที่มากมายเช่นกัน ความขาดแคลนในบริการสาธารณะ อย่างเรื่องของน้ำประปา มีโอกาสในการพัฒนาซ่อนอยู่ เช่น เรื่องของสมาร์ทมิเตอร์, แนวโน้มของโลกที่ “โดรน” มีแต่จะพัฒนามากขึ้น จนมีศักยภาพที่จะกลายเป็นจักรกลหลักในระบบโลจิสติกต์ของโลกในอนาคตได้, ระบบขับขี่อัตโนมัติในรถยนต์ ที่มีศักยภาพจะพัฒนาได้มากกว่านี้อีก ฯลฯ ทั้งหลายทั้งปวงที่ผมกล่าวมา คือโอกาสในการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ต้องใช้แบตเตอรี่ลิเธียม ชิพ เทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ ฯลฯ ที่เรายังไม่สามารถผลิตเองได้ในประเทศไทย รวมไปถึงเทคโนโลยีที่จะมาการจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เกิดขึ้นตามมาหลังจากนั้น
.
ทำให้เราต้องการนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ นักเคมี นักวิทยาศาสตร์ดาต้า และนักวิทยาศาสตร์ในสาขาอื่นๆ เป็นจำนวนมาก
.
การมีเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นของตัวเอง มีอิสระจากการต้องพึ่งพาเทคโนโลยีเหล่านี้จากต่างประเทศ คือทางเดียวที่ประเทศไทยและงานที่คนไทย จะสามารถผลิตสิ่งของที่มีมูลค่าสูงขึ้น ไปเอามูลค่าจากตลาดโลกมาเพิ่มให้กับประเทศไทย และจะนำไปสู่การเพิ่มรายได้ต่อหัวประชากรขึ้นมาได้
.
นี่คือทางรอดทางเดียวของประเทศไทย และการจะไปสู่จุดนั้นไดั ประเทศไทยก็ต้องการคนอย่างนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ที่ผมได้ไปพบเจอมาวันนี้ และที่กำลังเก็บเกี่ยวความรู้อยู่ในสถาบันการศึกษาอื่นๆ ทั่วประเทศทุกคน มายืนเป็นแถวหน้าในการพัฒนาประเทศด้วยกัน
.
เราเป็นประเทศที่ติดอยู้ในกับดักรายได้ปานกลางมานานมากแล้ว วันนี้ประเทศที่พัฒนาแล้วก็แก่ เข้าสู่สังคมชราภาพเหมือนกัน แต่ที่แตกต่างกันคือเขารวยแล้วแก่แต่ของเราแก่ก่อนรวย วิธีที่จะทำลายวงจรนี้มีอย่างเดียว คือประเทศไทยต้องมีวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง
.
เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งย้ายประเทศกันไปไหนเลยครับ ไปเรียนชั่วครู่ชั่วคราว ไปเก็บเกี่ยวหาประสบการณ์ได้ แต่ขอให้กลับมาช่วยสร้างประเทศของเราด้วยกัน
.
แน่นอนว่าสภาพของประเทศทุกวันนี้มันน่าสิ้นหวัง แต่ผมยังเชื่อมั่นเสมอว่าเราเปลี่ยนมันได้ครับ และเมื่อการเปลี่ยนแปลงเริ่มก่อรูปเป็นผลสำเร็จขึ้นมา ประเทศของเราก็จะต้องการกำลังจากพวกเราทุกคน และต้องการจำนวนมากด้วย มาร่วมสร้างประเทศนี้ให้พัฒนาในด้านต่างๆ ด้วยกัน
.
สำหรับอนาคตนักวิทยาศาสตร์ เราต้องการพวกคุณมากเป็นพิเศษจริงๆ ในวันที่การมีเทคโนโลยีเป็นของเราเอง คือจุดชี้ขาดชะตากรรมของประเทศเราในอนาคตครับ