วันอังคาร, กุมภาพันธ์ 21, 2566

4 ปีในฐานะ “ผู้แทนราษฎร” ของ “จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์” ได้เรียนรู้เรื่องไหนมากที่สุด


จดหมายเหตุ
February 8

4 ปีในฐานะ “ผู้แทนราษฎร” ของ “จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์”
.
(เนื้อหาจากบทสัมภาษณ์ในช่องยูทูบมติชนทีวี https://youtu.be/4J7D3-ey98M?t=1500)
.
ผู้ดำเนินรายการ : ให้คุณจิรัฏฐ์สรุปความเป็นผู้แทนราษฎรของตัวเองตลอด 4 ปีที่ผ่านมา คุณจิรัฏฐ์คิดว่าเราเรียนรู้เรื่องไหนมากที่สุด หรือว่าเราเห็นอะไรจากการเป็นผู้แทนฯ สมัยแรก แล้วก็ทำงานมาสี่ปี?
.
“ผมได้รู้อะไรมากขึ้น ได้รู้ว่าสิ่งที่เราเชื่อมาตลอด สิ่งที่เราคิดว่ามันเป็นภัยมันเป็นพิษกับประชาชนมาตลอด ได้รู้ว่ามันไม่ใช่แค่นั้น มันมากกว่านั้นเยอะ มันหนักกว่านั้นเยอะ มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำแล้วก็แก้สำเร็จภายในเร็ววันแน่นอน
.
“ผมคิดว่าการจัดสรรงบประมาณ เมื่อก่อนคิดว่ามันไม่แฟร์กับประชาชน พอเข้าไปทำจริงๆ มันมากกว่านั้นหลายเท่า มันมากมายซะจนไม่รู้มันเกิดขึ้นมาได้ยังไงด้วยซ้ำ เราปล่อยให้มันเกิดขึ้นได้ยังไงก็ไม่รู้
.
“อย่างเช่นการใช้ประโยชน์ที่ดินของกองทัพ เราปล่อยให้เขามีที่ดินของตัวเองเยอะขนาดนี้ได้ยังไง เราปล่อยให้เขาทำธุรกิจเอาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองโดยที่ไม่มีใครพูดถึงเลยได้ยังไง
.
“แล้วก็ได้เรียนรู้ว่า ในสภามันมีอะไรหลายอย่างที่มันเกิดขึ้นได้ มันเป็นไปได้ ไอ้ที่เราคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปได้เยอะแยะไปหมดเลยครับ การเกิดขึ้นของอนาคตใหม่เอย การเอาเรื่องที่ไม่เคยมีคนพูดเอามาพูดเอย ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นไปได้
.
“เวลาเราบอกว่า เราจะไปแก้นู่น เราจะไปแก้นี่ เราจะขายนโยบายยังไง จะมีคนพูดว่ามันเป็นไปได้เหรอ มันจะทำได้เหรอ นู่นนี่นั่น ผมจะบอกว่ามันทำได้หมดเลยครับ ผมทำได้ทั้งนั้นแหละครับ ที่พูด และมันทำง่ายๆ เลย ถ้าจะทำ ทุกอย่างมันทำได้หมด ไม่ใช่ว่าอันนี้มันแก้ไม่ได้หรอก มันติดนู่นติดนี่ แต่ถ้าผู้แทนราษฎรจะทำ ถ้าสภาเห็นตรงกัน มันทำได้หมด
.
“บางทีเราขายนโยบายไปก็จะถูกกล่าวหาว่ามันเป็นแค่คำพูดลอยๆ หรือมันเป็นแค่พวกเพ้อฝัน ซึ่งจริงๆ แล้ว สิ่งที่เราเพ้อฝันมันเป็นไปได้จริงๆ นะครับ และถ้าไม่มีความฝันอยู่ในนั้นเลย แล้วคุณไปมีอำนาจ ผมก็ไม่รู้ว่าคุณจะทำอะไร ถ้าคุณไม่มีความฝันว่าจะทำอะไรให้มันดีขึ้น
.
“คืออุดมคติมันมีได้ และมันก็ต้องมีด้วย ไม่มีไม่ได้ครับ ถ้ามีอำนาจแล้วไม่มีอุดมคติ ผมก็เชื่อว่าเสียของ”
.
ผู้ดำเนินรายการ : คุณจิรัฏฐ์ทิ้งท้ายหน่อย คือรอบหน้าการเลือกตั้งอะไรมันก็เกิดขึ้นได้หมด แล้วก็มันมีการแข่งขันที่สูงพอสมควร ถ้าเกิดจะให้คุณจิรัฏฐ์สื่อสารอะไรกับประชาชนในโอกาสที่วันนี้เรายังเป็นผู้แทนฯ อยู่ อยากจะบอกอะไรกับเขา อาจจะเป็นคนในเขตคุณจิรัฏฐ์ (บางปะกง, บ้านโพธิ์, แปลงยาว) ก็ได้ หรือประชาชนที่ติดตามเรามาตลอดในการอภิปรายในสภา อยากจะบอกอะไรกับเขาไหม?
.
“ก็อยากให้ทุกคนเลือกพรรคก้าวไกลครับ (หัวเราะ) ชัดๆ เลยครับ ง่ายที่สุดเลยครับ แล้วก็ไม่ต้องปั้นแต่งคำไหนแล้วครับ คำนี้ชัดที่สุดแล้วครับ เพราะว่าครั้งนี้เราพยายามที่จะเฟ้นหาคัดกรองคนที่มีอุดมการณ์ มีหลักการ แล้วก็มีความมุ่งมั่นจริงๆ เข้ามาทำการเมือง หลายคนเป็นคนที่ผมตั้งตารอฟังเขาอภิปรายในสภาเลย
.
“แล้วก็การเลือกตั้งมันก็ใกล้เข้ามาแล้ว ผมก็ยังคิดว่า ยังมีหลายคน ผมเข้าใจนะครับ ที่ยังจำเป็นจะต้องใช้ชีวิตในการทำงาน เพราะว่าเราใช้ชีวิตกันมาลำบากลำบนมานาน มันไม่ค่อยมีเวลาได้ติดตามเรื่องการเมืองหรอกครับ แต่ก็อยากให้สนใจเข้าไปศึกษา เข้าไปฟัง เปิดข่าวในวิทยุในรถก็ได้ เพื่อที่จะตามสถานการณ์การเมืองทัน แล้วก็ไปวิเคราะห์ไปคิดเอาเองว่าจะต้องเลือกแบบไหน ถึงจะเหมาะ จะต้องให้ใครมาเป็นตัวแทนของเรา
.
“แต่ก็อยากให้เลือกคนที่ ผมจะใช้คำว่าด่ามันได้น่ะครับ เวลาผมลงพื้นที่แล้วไปคุยเรื่องนี้กับประชาชน ผมก็จะบอกว่าเนี่ยจะเลือกก็เลือกคนที่เราด่ามันได้ ถ้าจะส่งใครลงท้องถิ่นก็ส่งลูกส่งหลานลง อย่าไปให้คนอื่นลง เอาลูกเอาหลานเรานี่แหละลง เพราะว่าเวลามันไม่ทำแล้วด่ามันได้ ตบกบาลมันยังได้เลย
.
“นี่ก็เหมือนกันครับ ถ้าจะเลือกคนไปเป็นผู้แทนฯ คุณต้องเลือกคนที่คุณด่าได้ ถ้าเขาไม่ทำในสิ่งที่คุณต้องการ ไม่งั้นเลือกคนที่ด่าไม่ได้ ไม่กล้าคุยด้วยซ้ำ ไม่กล้าโทรไปด้วยซ้ำ ไม่กล้าไปหาเขาที่บ้านด้วยซ้ำ เพราะกลัวเขามีอิทธิพล เขาเป็นบ้านใหญ่นู่นนี่นั่น ผมคิดว่ามันไม่เป็นประโยชน์กับเราเลย แล้วก็ไม่ได้ช่วยส่งเสริมให้ประเทศนี้ดีขึ้น แถมชีวิตเราก็ลำบากมากขึ้น แถมเขารวยขึ้นต่างหาก
.
“เพราะฉะนั้น เลือกในสิ่งที่เราคิดว่าเราคุมได้ เราเอาอยู่ เราเป็นเจ้านายเขานะครับ ผมเล่าให้ฟังว่าอยู่ในสภา ห้องทานข้าวของผู้แทนราษฎรนี่นะครับ พนักงานทุกคนเรียก ส.ส. ว่า ‘นาย’ หมดเลยนะครับ นายคะ นายครับ นายทานนู่นมั้ยครับ นายเอาน้ำมั้ยคะ
.
“คือเราต้องเปลี่ยนวิธีคิดแบบนี้นะครับ ผมเป็น ส.ส. ผมก็ไม่ใช่นายท่าน ท่านต่างหากที่เป็นนายผม ประชาชนต่างหากที่เป็นนายผม ผมน่ะต้องเรียกคุณว่า ‘นาย’ ด้วยซ้ำ
.
“คือถ้าเรายังมองผู้แทนราษฎรเป็นคนที่อยู่สูง เป็นคนที่อยู่คนละขั้นอีกชั้นหนึ่งของเรา แล้วเขาจะเป็นตัวแทนเราได้ยังไงครับ ถ้าเราเปลี่ยนวิธีคิดตรงนี้ให้ได้ แล้วเลือกคนที่เราสั่งได้ ผมเชื่อว่าประเทศจะดีกว่านี้เยอะเลยครับ อย่างน้อยเขาก็ไม่ไปโหวตอะไรมั่วซั่ว ไม่ไปพูดอย่างแล้วไปโหวตอีกอย่างแน่ๆ เพราะเขากลับบ้านไปแล้วเขาโดนด่าไง”