กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย Democracy Restoration Group - DRG
8h ·
DRG ถอดเทปคำปราศรัยของอานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชนและนักกิจกรรมทางการเมือง ที่มุ่งตรงไปยังบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์กับการเมืองไทย และเรียกร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายเพื่อมิให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องออกไปไกลห่างจากระบอบประชาธิปไตย ในกิจกรรมชุมนุม “เสกคาถาผู้พิทักษ์ ปกป้องประชาธิปไตย” จัดโดยกลุ่มมหานครเพื่อประชาธิปไตย - (MDG) และกลุ่มมอกะเสด (KU Daily) เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2563 ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มีเนื้อหาดังนี้
____________________
สวัสดีพี่น้องที่มาชุมนุมวันนี้ทุกคนครับ
.
ก่อนอื่นต้องขอเรียนให้ทราบอย่างนี้ว่า ผมได้รับการติดต่อจากน้องๆ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และมหาวิทยาลัยมหานคร ให้มาพูดปราศรัยกับพี่น้องในวันนี้ในหัวข้อเดียว เป็นหัวข้อที่หลายๆ คนอยากฟัง แต่ไม่มีใครเคยเอ่ยอ้างอย่างเป็นทางการ
.
ด้วยความให้เกียรติและเคารพต่อตัวเอง ให้เกียรติและเคารพต่อพี่น้องที่มาฟัง และเคารพให้เกียรติอย่างสูงสุดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เรามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพูดถึงบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เกี่ยวกับการเมืองไทยที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ เราซุกปัญหาเหล่านี้ไว้ใต้พรมหลายปีมาแล้วครับพี่น้อง ไม่มีการเอ่ยอ้างถึงปัญหาอย่างแท้จริง ซึ่งมันนำมาสู่การแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด
.
เราต้องยอมรับความจริงว่าที่นิสิต นักศึกษา และประชาชนลุกขึ้นมาชุมนุมเรียกร้องทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลายคนต้องการจะตั้งคำถามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของพวกเรา ในเวทีชุมนุมมีการชูป้ายกล่าวอ้างถึงบุคคลที่อยู่เยอรมัน มีการกล่าวอ้างถึงบุคคลที่เป็นนักบินบินไปบินมา คำกล่าวอ้างเหล่านี้จะหมายถึงใครไปไม่ได้นอกจากสถาบันพระมหากษัตริย์ของพวกเราครับพี่น้อง แต่การกล่าวอ้างเหล่านั้นมันจะไม่มีน้ำหนักเลยหากพวกเราไม่มีการพูดด้วยเหตุด้วยผลและตรงไปตรงมาตามหลักของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
.
พี่น้องครับ ปัจจุบันนี้เราประสบปัญหาอย่างยิ่งยวดและสำคัญยิ่ง คือมีกระบวนการที่จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ของพวกเราขยับออกไปไกลห่างจากระบอบประชาธิปไตยมากขึ้นทุกทีๆ
.
กระบวนการแรกเกิดขึ้นหลังจากการรัฐประหารปี 2557 ประยุทธ์ จันทร์โอชารัฐประหารครั้งนี้ สั่งให้เนติบริกรร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกขึ้นมาโดยบวรศักดิ์ อุวรรณโณ อาจารย์บวรศักดิ์ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา เนื้อหาสาระก็ไม่ได้แตกต่างจากปี 2550 เท่าไหร่ ปรากฏว่าชนชั้นนำไทยไม่ยอม ปัดตกในชั้น สนช. ให้บุคคลที่เป็นเนติบริกร เป็นพ่อมดตัวจริงของประเทศไทยขึ้นมาร่างใหม่ นั่นคือนายมีชัย ฤชุพันธุ์ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ด้วยความที่เป็นพ่อมด เขาออกแบบโครงสร้างรัฐธรรมนูญให้เอื้อต่อการขยายพระราชอำนาจออกไปไกลจากระบอบประชาธิปไตย ยิ่งไกลยิ่งดี
.
เขาออกแบบมายังไง 1. คือออกแบบมาตรา 15 วรรคสอง ให้การบริหารราชการแผ่นดิน มีการตั้งหน่วยงานในพระองค์ขึ้นมา แล้วบริหารไปตามพระราชอัธยาศัย การที่บอกว่าบริหารไปตามพระราชอัธยาศัยนั้น แปลเป็นภาษาบ้านเราคือบริหารไปตามใจของพระมหากษัตริย์ เหล่านี้เป็นการออกแบบกฎหมายที่ขัดกับระบอบประชาธิปไตยทั้งสิ้น หลังจากนั้นก็นำไปออกประชามติ แล้วผ่านออกเสียงประชามติมาด้วยความทุลักทุเล และการออกเสียงประชามตินั้นก็ไม่ได้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริงหรอกครับ มีเพื่อนเราหลายคนโดนจับโดนคุกคาม
.
แต่พอมีการผ่านการออกเสียงประชามติมา เกิดการแทรกแซงการประกาศใช้รัฐธรรมนูญโดยสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นครั้งแรก คือเมื่อมีการผ่านประชามติออกมา ประยุทธ์ จันทร์โอชานำรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าฯ พระมหากษัตริย์รับสั่งให้แก้รัฐธรรมนูญในสาระสำคัญอยู่หลายประการ ซึ่งถ้าในประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เหตุการณ์นี้ไม่มีทางเกิดขึ้น เพราะนี่เป็นการแทรกแซงการประกาศใช้รัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการ
.
การแก้ไข แก้ไขประเด็นใหญ่ๆ อยู่ 2 ประการคือ 1. แก้ไขกรณีที่มันเกิดวิกฤตของบ้านเมือง รัฐธรรมนูญฉบับมีชัยบอกว่าให้วินิจฉัยไปตามประเพณีการปกครองโดยให้มีคณะกรรมการขึ้นมาวินิจฉัย มีประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครอง ประธานรัฐสภา ผู้นำฝ่ายค้าน ให้คนที่มันยึดโยงกับประชาชนไปวินิจฉัยกรณีที่มันมีวิกฤตบ้านเมือง แต่พระมหากษัตริย์รับสั่งให้แก้ไขประเด็นนี้ ให้ตัดออก เหลือเพียงแค่ให้วินิจฉัยไปตามประเพณีในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นี่คือการแก้ไขประการที่หนึ่ง ซึ่งกระทบกระเทือนต่อสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญอย่างแน่นอน
.
ประการที่สองที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติแล้วนะครับ คือการแก้ไขให้พระมหากษัตริย์กรณีที่ไม่อยู่ในประเทศไทย ไม่ต้องตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เราจึงได้เห็นพระมหากษัตริย์ของเราเสด็จไปประทับอยู่ที่ประเทศเยอรมัน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นานๆ ครั้งจึงจะกลับมาที่ประเทศไทย ข้อเท็จจริงนี้พี่น้องทุกคนทราบ ทหารตำรวจทุกคนทราบ แต่ผมเชื่อว่าทุกคนไม่กล้าพูด ด้วยความเคารพอย่างยิ่งยวดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ กระผมคิดว่าปัญหานี้จะต้องถูกพูดอย่างเป็นทางการ เพื่อหาวิธีการแก้ปัญหาร่วมกัน
.
เมื่อรัฐธรรมนูญประกาศใช้เสร็จ รัฐธรรมนูญของมีชัย ฤชุพันธ์ ก็แผลงฤทธิ์ทันที สนช. ซึ่งตั้งจากไอ้พวกเผด็จการประยุทธ์นี่แหละครับ มีการงุบงิบกันออกกฎหมายที่ขยายพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์หลายฉบับ
.
กฎหมายฉบับแรกที่มีการออกคือ พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการในพระองค์ พ.ศ. 2560 เปิดโอกาสให้มีหน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย แต่กินเงินเดือนจากพี่น้องประชาชน
.
จากนั้นได้มีการตรากฎหมายฉบับสำคัญอีกหนึ่งฉบับ นั่นก็คือ พ.ร.บ. จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2561 ซึ่งเดิมทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มีองค์กรที่เข้ามาดูแลอยู่แล้ว คือสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ โอเค อาจจะมีปัญหาการโต้แย้งกันว่าทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กับทรัพย์สินส่วนพระองค์ใครเป็นคนดูแล แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญและออกพระราชบัญญัติครั้งนี้ในปี 2561 เปลี่ยนแปลงการเมืองไทยไปอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน เพราะอะไร เพราะต่อไปนี้ทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่พวกเราเป็นเจ้าของรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นสนามหลวง ไม่ว่าจะเป็นพระราชวัง ไม่ว่้าจะเป็นหุ้นที่เดิมเป็นของพวกเราทุกคนที่เป็นเจ้าของรวมกัน ต่อไปนี้จะตกเป็นของพระมหากษัตริย์ บริหารราชการแผ่นดินไปโดยตามพระราชอัธยาศัยครับพี่น้อง
.
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญแต่ไม่มีใครกล้าพูดถึง และนั่นคือเหตุจำเป็นที่น้องๆ ให้ผมมาพูดในวันนี้ มันสำคัญยังไง สำคัญตรงที่ว่าทรัพย์สินซึ่งเดิมเมื่อคณะราษฎรได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เขาได้แบ่งทรัพย์สินออกอย่างชัดเจน ส่วนที่เป็นของส่วนพระองค์คณะราษฎรไม่แตะต้อง แต่ส่วนที่เกิดจากภาษีของพวกเราก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะราษฎรให้รัฐเป็นคนดูแล จากนี้ไปทรัพย์สินหลายอย่างที่พวกเราเคยใช้ร่วมกัน สนามหลวงที่เคยประกอบพระราชพิธี ในช่วงที่ว่างเว้นมีพี่น้องที่เป็นคนไร้บ้านได้ไปพักอาศัย มีเด็กไปเที่ยวสนามหลวง ต่อไปนี้จะไม่มีภาพนั้นอีกแล้ว
.
เท่านั้นยังไม่พอ การที่แปรสภาพให้ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ตกอยู่ในการบริหารของพระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียว ส่งผลทำให้เกิดข้อกฎหมายอีกประการหนึ่งคือกรณีที่ในหลวงของพวกเราไปประทับอยู่ที่ประเทศเยอรมัน ตามกำหนดเวลาของแคว้นบาวาเรีย ประเทศเยอรมัน กฎหมายอาจจะบังคับให้จะต้องเสียภาษีเป็นจำนวนหลายหมื่นล้าน ถามว่าเงินจำนวนหลายหมื่นล้านนั้นเป็นเงินของใคร ก็เงินภาษีของพวกเราทุกคนนี่แหละครับ นี่คือความสุ่มเสี่ยงอย่างถึงที่สุดที่รัฐบาลประยุทธ์ไม่เคยพูดถึง
.
การแก้ไขรัฐธรรมนูญประการต่อมาที่เป็นปัญหา ที่พวกเราทุกคนเห็น พวกเราทุกคนพูดข้างล่างเวที นิสิตนักศึกษาทุกคนพูด แต่หลายคนทำเป็นหูทวนลมไม่ฟัง คือการที่พระมหากษัตริย์ไม่ประทับในประเทศ ถามว่าปัญหาที่เกิดขึ้นคืออะไร ปัจจุบันนี้เราถูกฝรั่งมังฆ้องต่างชาตินำเอากษัตริย์ของเราไปล้อเล่นที่เยอรมัน ไปฉายเลเซอร์ ไปให้เด็กใช้ปืนอัดลมก่อการที่ไม่บังควร เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะพระมหากษัตริย์ไม่อยู่ในประเทศ รวมทั้งกรณีที่จะตั้งรัฐมนตรีเข้าไปถวายสัตย์ปฏิบัติหน้าที่ ทำไม่ได้ ต้องรอให้กษัตริย์กลับมาประเทศก่อน ปัญหานี้ทุกคนรู้ เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคนรู้ แต่ไม่กล้าพูดถึง ทุกคนที่มาชุมนุมเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2563 ที่ชูป้ายเรื่องเหล่านี้ทุกคนรู้ แต่ไม่มีใครพูดถึง วันนี้แฮร์รี่ พอตเตอร์ จึงต้องพูดถึงเรื่องนี้
.
การตรากฎหมายที่ทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ขยับออกไปจากระบอบประชาธิปไตยยังไม่เพียงเท่านั้น ในปี 2562 พี่น้องจำได้มั้ยครับ เมื่อมีการเลือกตั้ง มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ได้มีการเสนอกฎหมายอีกฉบับหนึ่ง คือ พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วน ของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562 โอนกำลังพลทหาร กรมทหารราบที่ 1 กับกรมทหารราบที่ 11 ไปให้สถาบันพระมหากษัตริย์ดูแลปกครองไปตามพระราชอัธยาศัย
.
กรณีนี้สำคัญนะครับ ในประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตย ไม่มีที่ไหนให้กษัตริย์มีอำนาจดูแลปกครองทหารจำนวนมากขนาดนี้ ไม่มีครับ การทำเช่นนั้นมันสุ่มเสี่ยง สุ่มเสี่ยงต่อการทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยกลายเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
.
เราโชคดีในโชคร้ายคือมีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งกล้าลุกขึ้นมาปราศรัยเรื่องนี้ในสภาผู้แทนราษฎร ขออนุญาตเอ่ยนาม ขณะนั้นท่านดำรงตำแหน่งเป็น ส.ส. ในพรรคอนาคตใหม่ ลุกขึ้นมาอภิปรายเรื่องที่ว่าพรรคอนาคตใหม่ไม่เห็นชอบกับการออกพระราชกำหนดโอนกำลังพลทหารมาสังกัดที่สถาบันพระมหากษัตริย์ คนคนนั้นชื่อว่าปิยบุตร แสงกนกกุล เป็น ส.ส. คนแรกและคนเดียวในประวัติศาสตร์ชาติไทยในหลายสิบปีที่กล้าลุกขึ้นมาอภิปรายเรื่องนี้ในสภาผู้แทนราษฎร เขาอภิปรายถึงที่มาที่มันไม่ชอบมาพากล เพราะไปออกเป็นพระราชกำหนด ไม่ปล่อยให้มีการอภิปรายอย่างกว้างขวางในสภา นอกจากนั้นการที่เอาทหารหลายกองพันไปสังกัดกับสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นการสุ่มเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง โชคชะตานำพาให้การพูดเรื่องนั้นทำให้พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบครับพี่น้อง
.
ณ วันนี้พวกเรามีระบอบการปกครองประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่สถาบันพระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจล้นเกินไปกว่าที่ระบอบอนุญาตแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องพูดกันอย่างจริงจัง เรื่องนี้ทุกคนจะต้องพูดให้เป็นสาธารณะ และพูดด้วยความเคารพในระบอบ เคารพต่อสถาบันฯ ถ้าไม่พูดถึงเรื่องนี้ ไม่มีทางแก้ปัญหาได้
.
การพูดเช่นนี้ไม่ใช่การล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เป็นการพูดเพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในสังคมไทยอย่างถูกต้องชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข นักศึกษาที่ออกมาชุมนุมหลังจากปีใหม่มานี้ทุกคนรู้เรื่องนี้ นักศึกษาทุกคนที่ชูป้ายข้อความสองแง่สองง่าม กล่าวถึงบุคคลที่ผมกล่าวมาแล้ว ทุกคนรู้เรื่องนี้ ต่อไปนี้เรื่องนี้จะต้องถูกพูดในที่สาธารณะ และพวกเราทุกคนจะต้องเรียกร้องไปที่สภาผู้แทนราษฎร ให้เขาพูดเรื่องนี้แทนพวกเราทุกคนในสภาผู้แทนราษฎร
.
อย่าปล่อยให้คนตัวเล็กตัวน้อยต้องมาพูดเรื่องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์แล้วถูกคุกคามตามลำพัง อย่าปล่อยให้ผู้ลี้ภัยทางการเมืองออกมาพูดเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์แล้วถูกอุ้มฆ่าอย่างโหดร้ายทารุณ ต่อไปนี้จะไม่มีเรื่องนี้อีกแล้ว ต่อไปนี้จะไม่มีบุคคลที่ออกมาพูดเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์แล้วถูกกล่าวหาว่าเป็นคนบ้า คนเสียสติ ถูกอุ้มเข้าโรงพยาบาลทั้งๆ ที่เขาพูดความจริง ต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้วครับพี่น้อง
.
นั่นเป็นเพียงฉากแรกของการเปลี่ยนแปลงพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยที่เป็นปัญหากับระบอบ นั่นก็คือการตรากฎหมายโดยสภาที่เป็นเผด็จการ ประการต่อมา สถาบันพระมหากษัตริย์ของพวกเรานิ่งเฉยจนเกินความจำเป็น ปล่อยให้บุคคลก้าวล่วง แอบอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อมาทำลายคนที่เห็นต่างทางการเมือง
.
คนแรกที่ผมจะเอ่ยถึง ที่ดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาสนับสนุนตัวเอง นั่นก็คือคนที่ชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา พี่น้องจำได้มั้ยครับ เมื่อครั้งที่เขาก่อนจะเข้ารับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญบัญญัติให้คนที่เป็นนายกฯ ต้องถวายสัตย์ต่อพระมหากษัตริย์ด้วยข้อความตามรัฐธรรมนูญ คือต้องจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ บริหารราชการแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และที่สำคัญคือต้องพิทักษ์รักษาและปฏิบัติให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แต่ประยุทธ์ จันทร์โอชา จงใจที่จะไม่ปฏิญาณต่อหน้าองค์พระมหากษัตริย์ของพวกเราว่าจะปฏิบัติและรักษารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
.
นั่นหมายความว่ายังไงครับพี่น้อง นั่นหมายความว่าประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่รับปากว่าจะไม่ฉีกรัฐธรรมนูญอีกครั้งครับพี่น้อง ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่รับปากว่าจะปฏิบัติให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ก็ยังปล่อยให้ประยุทธ์ออกมาแอบอ้างครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากการถวายสัตย์มีการตระเตรียมให้ไปถวายสัตย์อีกครั้ง แต่วันรุ่งขึ้นพี่น้องจำได้ไหมครับ ประยุทธ์อ้างพระราชดำรัส เป็นลายพระราชหัตถเลขา บอกว่าในหลวงท่านทรงให้กำลังใจ นี่คือการแอบแ้างสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อประโยชน์ของตัวเอง แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ได้ออกมาชี้แจงเรื่องนี้ ปล่อยให้คนอย่างประยุทธ์ จันทร์โอชา แอบอ้างครั้งแล้วครั้งเล่า
.
เท่านั้นยังไม่พอ ผมไม่เชื่อว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีหน่วยงานทหารเป็นฝ่ายการข่าว ฝ่ายที่ดูแลโซเชียลเน็ตเวิร์ค จะไม่รู้ว่าคนอย่าง พล.ต.เหรียญทอง แน่นหนา ใช้สถาบันพระมหากษัตริย์มาทำลายล้างพวกเราอย่างไร ผมไม่เชื่อว่าท่านไม่รู้ แต่การที่สถาบันพระมหากษัตริย์ สำนักพระราชวัง ยังนิ่งเฉยอยู่ทั้งที่รู้อยู่ว่ามีบุคคลที่แอบอ้างแล้วมาทำลายล้างราษฎร ยังนิ่งเฉยอยู่ มันก็ทำให้เราอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นคิดกับพวกเรายังไง มันอดไม่ได้จริงๆ ถ้าเสียงของเรา ถ้าเสียงของผมพอจะส่งถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ถึงสำนักพระราชวัง ขอร้องให้ท่านแสดงจุดยืนเป็นกลางทางการเมือง จัดการกับ พล.ต.เหรียญทอง อย่าให้เขามาทำลายราษฎร อย่าให้เขามาคุกคามพวกเราอีก
.
นอกจากนั้น ประเทศนี้ยังถูกบิดเบือนเรื่องสำคัญอีกหลายเรื่อง ที่จะบิดเบือนให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นสถาบันของบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่สถาบันของคนไทยทั้งประเทศ กลุ่มนี้คือกลุ่มที่ออกมากล่าวหาว่าคนที่ออกมาไล่ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่ากับล้มล้างสถาบันฯ ซึ่งมันไม่ใช่ การไล่ประยุทธ์ก็คือการไล่ประยุทธ์ การแก้รัฐธรรมนูญก็คือการแก้รัฐธรรมนูญ การที่บอกว่าไล่ประยุทธ์เท่ากับล้มเจ้าจึงเป็นเรื่องที่กล่าวหาเกินความเป็นจริง
.
กลุ่มบุคคลเหล่านั้นต้องหยุดเรื่องนี้ก่อนที่ประเทศนี้จะเผชิญหน้ากันด้วยความรุนแรง นอกจากนั้นพวกเราทุกคนจะต้องช่วยกันพูดถึงปัญหาที่แท้จริงเรื่องนี้ให้เป็นสาธารณะและพูดอย่างเปิดเผยเสียที นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ถ้าใครมาเชิญผมขึ้นเวทีให้ปราศรัยแล้วให้ผมพูดบิดเบือน ไม่กล่าวถึงปัญหาของสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมไม่ขึ้นเวที ผมจะขึ้นเวทีเฉพาะเวทีที่เปิดโอกาสให้ผมพูดความจริงเท่านั้น และผมยืนยันด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย ด้วยศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ผมพูดด้วยความเคารพ ด้วยความจริงใจ หากผมพูดปดแม้แต่น้อย ขอให้ผมมีอันเป็นไปภายในสามวันเจ็ดวันครับพี่น้อง
.
ประเด็นต่อมา นอกจากสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีการขยายพระราชอำนาจอย่างล้นเกินกว่าระบอบที่อนุญาตแล้ว รัฐบาลเผด็จการของประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังได้ทำให้ประเทศนี้ปกครองด้วยความไม่เป็นประชาธิปไตยโดยอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ หนึ่งในนั้นคือการตรากฎหมายพระราชบัญญัติงบประมาณแผ่นดินที่ใช้เงิน ส่งเงินให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์โดยไม่ได้ตรวจสอบการใช้เงินของสถาบันพระมหากษัตริย์ครับพี่น้อง
.
เรื่องนี้สำคัญ การใช้เงินงบประมาณแผ่นดินของทุกองค์กรต้องถูกตรวจสอบ ต้องถูกวิจารณ์ได้ แต่สำหรับรัฐบาลนี้ไม่มีเรื่องนี้ มีการตั้งงบประมาณในหลายส่วนที่เกินความจำเป็น เช่น งบประมาณกระทรวงพาณิชย์ เอาไปโปรโมตเสื้อผ้าแฟชั่นยี่ห้อ Sirivannavari เอางบประมาณแผ่นดินไปโปรโมตยี่ห้อส่วนพระองค์ นี่คือการประจบประแจงสถาบันกษัตริย์อย่างล้นเกินของรัฐบาลนี้ ถ้าเรามีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเรื่องนี้จะมีไม่ได้ครับพี่น้อง
.
ประการต่อมาคือการสนับสนุนงบประมาณในการเดินทางโดยการใช้เครื่องบินมากกว่า 5 พันล้านตาม พ.ร.บ.งบประมาณ รัฐบาลโดยรัฐสภาถ้าเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นว่าสถาบันกษัตริย์ของเราอยู่ต่างประเทศนานแล้ว ระบอบประชาธิปไตยเปิดโอกาสให้สภาผู้แทนราษฎรเปิดอภิปรายถวายคำแนะนำให้พระองค์กลับมาอยู่ในประเทศได้ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย งบประมาณหลายหมื่นล้านถูกใช้ไปโดยสุรุ่ยสุร่ายไม่มีการตรวจสอบ
.
นี่ยังไม่รวมงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ไปสร้างซุ้มถวายพระเกียรติมูลค่าเป็นสิบล้าน ซึ่งไม่มีความจำเป็นเลย คนจะจงรักภักดี จะศรัทธาต่อสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ซุ้มเฉลิมพระเกียรติ แต่อยู่ที่การปฏิบัติตนของพระราชวงศ์ทุกพระองค์ ดังนั้นการประจบประแจง การใช้งบประมาณแผ่นดินจนล้นเกินไปกว่าสภาพเศรษฐกิจที่เราประสบปัญหา COVID-19 ล้นเกินไปกว่าคนยากคนจนที่ไม่มีจะกิน เอาไปสร้างเป็นซุ้มเฉลิมพระเกียรติมูลค่าเป็นสิบล้าน ต่อไปนี้ต้องยกเลิก ไม่ให้มี ถ้ามี มีเท่าที่จำเป็นโดยพิจารณาจากเศรษฐกิจของประเทศเป็นหลัก
.
ที่ผมมาพูดในวันนี้ ก็ด้วยความห่วงใยในบ้านเมือง และกล่าวอ้างถึงปัญหาที่เกิดจากการขยายพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างตรงไปตรงมาในฐานะที่เป็นราษฎร ไม่มีเจตนาอย่างอื่นครับพี่น้อง ไม่ได้พูดเฉยๆ ด้วย ผมมีข้อเสนอในการแก้ปัญหา
.
ต่อไปนี้ถ้ามีการแก้รัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง ให้สภาเป็นสภาที่มีผู้แทนราษฎรที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ต้องแก้รัฐธรรมนูญเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้พระมหากษัตริย์อยู่ในประเทศไทยเพื่อเป็นมิ่งขวัญของพวกเราในประเทศ ไม่ใช่ไปอยู่เยอรมัน กรณีที่จะไป ต้องมีการตั้งผู้สำเร็จราชการเพื่อทำงานแทนพระองค์ในประเทศ ไม่ให้ประเทศว่างเว้นจากการมีพระมหากษัตริย์ อยู่ในประเทศให้สมกับเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เรื่องนี้ต้องแก้
.
เรื่องต่อมาที่ต้องแก้ คือการแก้พระราชบัญญัติที่ปล่อยให้ทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เป็นของพวกเรา ที่สถาบันพระมหากษัตริย์ได้มีการถ่ายโอนไปผ่านทาง พ.ร.บ.จัดการบริหารราชการส่วนพระมหากษัตริย์ ดึงกลับมาเป็นของพวกเราทุกคน ต้องแก้ พ.ร.บ.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ให้ทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นสนามหลวง ไม่ว่าจะเป็นวัดพระแก้ว กลับมาเป็นของพี่น้องประชาชนทุกคน
.
หากปล่อยเรื่องนี้ไป มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับพี่น้องว่าวันหนึ่งมันจะเกิดการปะทะกันด้วยความรุนแรงของคนสองกลุ่มสองอุดมการณ์ สักวันหนึ่งถ้าพวกเราเลือกพรรคการเมืองที่นิยมในระบอบประชาธิปไตย เขาก็ต้องเขาไปแก้กฎหมายนี้อยู่ดี ถ้าไม่แก้มีการปะทะกันแน่นอน เราทุกคนต้องช่วยกันส่งเสียง การเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคไหนมีนโยบายแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง มีนโยบายเอาทรัพย์สินที่เป็นสาธารณะกลับมาเป็นของพวกเรา เลือกพรรคนั้นครับพี่น้อง ส่วนพรรคการเมืองไหนที่มีนโยบายจะขยายพระราชอำนาจไปเรื่อยๆ จะใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินด้วยความสุรุ่ยสุร่าย ไม่ดูสภาพเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชน พวกเราจะอดตายอยู่แล้ว แต่ใช้เงิน มอบเงินให้สถาบันพระมหากษัตริย์อย่างสุรุ่ยสุร่ายเป็นหมื่นล้าน อย่าไปเลือกมัน ต้องสั่งสอนคนพวกนี้
.
สุดท้าย ขอบคุณพี่น้องที่มาร่วมกันฟังการปราศรัย และร่วมกันแสดงกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ แฮร์รี่ พอตเตอร์ ในวันนี้ ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นจากการพูดความจริงของผม ไม่ว่าจะเป็นการถูกคุกคาม จะจับไปดำเนินคดี หรือจะทำให้ผมเสียชีวิต ผมไม่เสียใจ เพราะวันนี้ผมได้พูดความจริงแล้ว และความจริงนี้จะอยู่กับพี่น้องทุกคน จะหลอกหลอนเผด็จการไปจนกว่าพวกเราทุกคนจะได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง
.
ต่อไปจะมีตัวแทนของน้องๆ นักศึกษาขึ้นมาอ่านแถลงการณ์ของกลุ่ม ยืนยันหลักการของกลุ่ม ว่ากลุ่มกลุ่มนี้ กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยมหานคร เขามีจุดยืนอย่างไรที่จัดงานในวันนี้ พี่น้องครับ หากมีการชุมนุมครั้งหน้า ถ้าใครจะกล่าวอ้างถึงปัญหาที่ซุกอยู่ใต้พรม ขอให้ทุกคนกล่าวถึงปัญหานั้นด้วยความรับผิดชอบ กล่าวถึงปัญหานั้นด้วยความตรงไปตรงมา และกล่าวถึงปัญหานั้นด้วยการเคารพจิตวิญญาณความเป็นมนุษย์ของตัวเองครับพี่น้อง อย่าไปด่าสถาบันฯ เฉยๆ พูดด้วยข้อเท็จจริง นำเสนอวิธีการแก้ปัญหาอย่างตรงไปตรงมา ผมเชื่อว่าทุกคนพร้อมที่จะรับฟังและแก้ปัญหาครั้งนี้ไปด้วยกัน ก่อนที่วิกฤตศรัทธาต่อบ้านเมือง ศรัทธาต่อสถาบันจะลดน้อยถอยลงมากไปกว่านี้ พวกเราต้องแก้ปัญหาของสถาบันพระมหากษัตริย์ร่วมกัน
.
ขอบคุณครับ
https://www.facebook.com/democracyrestoration/photos/a.1169932526469596/2975060585956772/
ooo
3 สิงหาคม 2563 กลุ่มมหานครเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มมอกะเสดนัดจัดกิจกรรมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ภายใต้ชื่อกิจกรรม #เสกคาถาปกป้องประชาธิปไตย โดยนำเอานิยายชื่อดัง “แฮรี่ พอตเตอร์” มาใช้เป็นไฮไลท์ของกิจกรรม ซึ่งในนิยายเรื่องนี้มีตัวร้ายที่ถูกเรียกว่า “คุณก็รู้ว่าใคร” เพราะตัวละครในเรื่องต่างตกอยู่ภายใต้ความกลัว ไม่กล้าเอ่ยชื่อตรงๆ และเชิญชวนให้ผู้เข้าร่วมเสกคาถาเวทมนต์ เพื่อขับไล่เผด็จการ
เวลาประมาณ 20.00 อานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ขึ้นปราศรัย โดยก่อนหน้านี้เขาประกาศแล้วว่า จะมาพูดเรื่องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ทนายอานนท์ได้กล่าวว่า เรื่องนี้ทุกคนจะต้องพูดในที่สาธารณะ โดยพูดด้วยความเคารพ การพูดเช่นนี้ ไม่ใช่การพูดเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เป็นการพูดเพื่อให้สถาบันอยู่อย่างถูกต้องชอบธรรม ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเรียกร้องให้สภาผู้แทนราษฎรพูดเรื่องเหล่านี้แทนประชาชน
ในการปราศรัยครั้งนี้ ทนายอานนท์ได้กล่าวถึงบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยหลายประเด็น ส่วนหนึ่งเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการออกกฎหมาย และการแก้ไขกฎหมาย ภายใต้รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งสมัยที่มาจากการรัฐประหาร และยุคของ คสช.2 ที่พยายามจะมาจากการเลือกตั้ง อย่างน้อย 4 เรื่องหลัก ที่ส่งผลต่อพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย
ไอลอว์ชวนทบทวนการออกกฎหมายเหล่านั้นแต่ละครั้ง โดยพิจารณาจากตัวบทกฎหมายที่ถูกเขียนไว้แล้วอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร
.
#เรื่องที่หนึ่ง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในหมวดเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์
หลังจากร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้นำร่างดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อลงพระปรมาภิไธยเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ต่อมาได้มีข้อสังเกตพระราชทาน นายกรัฐมนตรีจึงรับทูลเกล้าฯ กลับมาแก้ไข และทูลเกล้าฯ อีกครั้งหนึ่งในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 เนื้อหาส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปตามข้อสังเกตพระราชทาน มีอย่างน้อย 7 ประเด็น
1. แก้ไขมาตรา 5 กรณีมีวิกฤติของประเทศท่ีรัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนทางออกไว้ ให้วินิจฉัยไปตามประเพณีการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเท่านั้น ซึ่งเป็นการเขียนแบบเดียวกับรัฐธรรมนูญ 2540 ทั้งที่ฉบับลงประชามติพยายามจะเสนอกลไกอื่นขึ้นมาทดแทน
2. เพิ่มข้อความในมาตรา 12 เรื่องคุณสมบัติขององคมนตรี ท่ีต้องไม่เป็นข้าราชการ โดยเพิ่มข้อความว่า "เว้นแต่การเป็นข้าราชการในพระองค์ในตำแหน่งองคมนตรี"
3. มาตรา 15 ตัดพระราชอำนาจในการแต่งตั้ง "สมุหราชองครักษ์" ออก
4. มาตรา 16 เพิ่มข้อความว่า จะทรงแต่งตั้งบุคคลหนึ่ง "หรือหลายคนเป็นคณะ" ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ "หรือไม่ก็ได้"
5. มาตรา 17 กรณีไม่ได้แต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เพิ่มเงื่อนไขหาก "องคมนตรีเห็นว่ามีความจำเป็น" ให้เสนอชื่อบุคคล "หรือหลายคนเป็นคณะตามลำดับที่โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมกำหนดไว้ก่อนแล้ว" ได้
6. มาตรา 19 เพิ่ม วรรค 2 ให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งเคยได้รับการแต่งตั้ง และปฏิญาณตนแล้ว ไม่ต้องปฏิญาณตนอีก
7. มาตรา 182 ตัด วรรค 2 ที่ให้ผู้รับสนองพระบรมราชโองการเป็นผู้รับผิดชอบในกิจการทั้งปวง
อ่านเต็มๆ ต่อได้ที่ https://ilaw.or.th/node/4475
.
#เรื่องที่สอง กฎหมายจัดการทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์
16 กรกฎาคม 2560 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2560 http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/075/1.PDF โดยที่ไม่ปรากฏว่าหน่วยงานใดจัดทำร่างและเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และมีการพิจารณากันเมื่อใด
"เหตุผล" ในการออกที่ระบุไว้ท้ายพระราชบัญญัติ อธิบายว่า โดยที่ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์เป็นทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์ทรงใช้ในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ จึงสมควรให้การจัดการทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย เพื่อให้การใช้ประโยชน์ทรัพย์สินนั้นเป็นไปโดยเหมาะสมตามที่จะทรงมีพระราชวินิจฉัยและเป็นไปตามโบราณราชประเพณี ซึ่งจะสอดคล้องกับการจัดระเบียบราชการในพระองค์ตามที่ได้มีการตรากฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการในพระองค์ขึ้นใช้บังคับแล้วด้วย
พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2560 ที่ออกใหม่นี้ ยังมีข้อแตกต่างที่สำคัญจากกฎหมายเดิม ได้แก่
1. ประธานและกรรมการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แก้ไขให้มาจากการแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย
2. ยกเลิกระบบ “ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน” แล้ว และให้พระราชวัง หรือทรัพย์สินอื่นในประเภทนี้ไปรวมกับ "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" ในความดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
3. เปลี่ยนหลักการเสียภาษี ตามกฎหมายเดิม เขียนว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ย่อมได้รับความยกเว้นจากการเก็บภาษีอากร เช่นเดียวกับทรัพย์สินของแผ่นดิน แต่กฎหมายใหม่แก้ไขเป็นว่า ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ทุกประเภทจะต้องเสียภาษีอากรหรือได้รับยกเว้นภาษีอากรย่อมเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
อ่านเต็มๆ ต่อได้ที่ https://ilaw.or.th/node/4567
.
#เรื่องที่สาม การออกพ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลฯ
17 ตุลาคม 2562 สภาผู้แทนราษฎรลงคะแนนอนุมัติ พระราชกำหนดโอนอัตรากำลังพล และงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562 (พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลฯ) http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2562/A/103/T_0001.PDF ด้วยคะแนน เห็นชอบ 376 เสียง ไม่เห็นชอบ 70 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง
ในระหว่างการพิจารณา พ.ร.ก.ฉบับดังกล่าว ปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ได้อภิปรายไม่เห็นชอบการออก พ.ร.ก.ดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่า ไม่เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่คณะรัฐมนตรีจะออก เป็นพ.ร.ก. ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 172 วรรคสอง และเห็นว่าควรตรวจสอบการออกพระราชกำหนดของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์
ในมาตรา 3 ของ พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลฯ บังคับให้โอนบรรดาอัตรากำลังพล และงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ และกรมทหารราบที่ 11 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประกาศกำหนด ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการในพระองค์
อ่านเต็มๆ ต่อได้ที่ https://ilaw.or.th/node/5434
.
#เรื่องที่สี่ งบประมาณจากภาษีที่ใช้เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
ตามพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2563 ที่ใช้เวลาพิจารณาและถกเถียงกันในสภาผู้แทนราษฎรยาวนาน จนกระทั่งผ่านออกมาบังคับใช้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/A/015/T_0001.PDF ได้กำหนดการใช้จ่ายงบประมาณเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์เอาไว้ ซึ่งประชาไทสรุปไว้ว่า งบประมาณแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนที่ 1 รายจ่ายโดยตรง 19,685 ล้านบาทส่วนที่ 2 รายจ่ายโดยอ้อม 10,043 ล้านบาทรวม 29,728 ล้านบาท และยังมีโครงการที่ใช้ชื่อเกี่ยวเนื่อง 1,262 ล้านบาท
ตัวอย่างเช่น พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ได้รับความสะดวกปลอดภัยสูงสุด การถวายปฏิบัติการบินได้รับการตอบสนองอย่างสมพระเกียรติเมื่อได้รับการร้องขอ 5,528 ล้านบาท หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี การสนับสนุนถวายความปลอดภัย การถวายพระเกียรติ และปฏิบัติตามราชประสงค์ 1,201 ล้าน หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ สำนักปลัดกระทรวงกลาโหม
ส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกฯ งบก้อนใหญ่ที่สุดคือของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในแผนยุทธศาสตร์เสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ 1,976 ล้านบาท
กระทรวงมหาดไทย งบประมาณก้อนหลักนั้นหลายหน่วยงานนำไปดำเนินการในโครงการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่การปฏิบัติ โดยแบ่งเป็นหลายกิจกรรม รวมวงเงิน 1,454 ล้านบาท
อ่านเต็มๆ ต่อได้ที่ https://prachatai.com/journal/2020/03/86761
...
3 สิงหาคม 2563 กลุ่มมหานครเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มมอกะเสดนัดจัดกิจกรรมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ภายใต้ชื่อกิจกรรม #เสกคาถาปกป้องประชาธิปไตย โดยนำเอานิยายชื่อดัง “แฮรี่ พอตเตอร์” มาใช้เป็นไฮไลท์ของกิจกรรม ซึ่งในนิยายเรื่องนี้มีตัวร้ายที่ถูกเรียกว่า “คุณก็รู้ว่าใคร” เพราะตัวละครในเรื่องต่างตกอยู่ภายใต้ความกลัว ไม่กล้าเอ่ยชื่อตรงๆ และเชิญชวนให้ผู้เข้าร่วมเสกคาถาเวทมนต์ เพื่อขับไล่เผด็จการ
เวลาประมาณ 20.00 อานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ขึ้นปราศรัย โดยก่อนหน้านี้เขาประกาศแล้วว่า จะมาพูดเรื่องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ทนายอานนท์ได้กล่าวว่า เรื่องนี้ทุกคนจะต้องพูดในที่สาธารณะ โดยพูดด้วยความเคารพ การพูดเช่นนี้ ไม่ใช่การพูดเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่เป็นการพูดเพื่อให้สถาบันอยู่อย่างถูกต้องชอบธรรม ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และเรียกร้องให้สภาผู้แทนราษฎรพูดเรื่องเหล่านี้แทนประชาชน
ในการปราศรัยครั้งนี้ ทนายอานนท์ได้กล่าวถึงบทบาทของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยหลายประเด็น ส่วนหนึ่งเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการออกกฎหมาย และการแก้ไขกฎหมาย ภายใต้รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทั้งสมัยที่มาจากการรัฐประหาร และยุคของ คสช.2 ที่พยายามจะมาจากการเลือกตั้ง อย่างน้อย 4 เรื่องหลัก ที่ส่งผลต่อพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย
ไอลอว์ชวนทบทวนการออกกฎหมายเหล่านั้นแต่ละครั้ง โดยพิจารณาจากตัวบทกฎหมายที่ถูกเขียนไว้แล้วอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร
.
#เรื่องที่หนึ่ง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในหมวดเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์
หลังจากร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้นำร่างดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อลงพระปรมาภิไธยเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน ต่อมาได้มีข้อสังเกตพระราชทาน นายกรัฐมนตรีจึงรับทูลเกล้าฯ กลับมาแก้ไข และทูลเกล้าฯ อีกครั้งหนึ่งในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2560 เนื้อหาส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปตามข้อสังเกตพระราชทาน มีอย่างน้อย 7 ประเด็น
1. แก้ไขมาตรา 5 กรณีมีวิกฤติของประเทศท่ีรัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนทางออกไว้ ให้วินิจฉัยไปตามประเพณีการปกครองอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเท่านั้น ซึ่งเป็นการเขียนแบบเดียวกับรัฐธรรมนูญ 2540 ทั้งที่ฉบับลงประชามติพยายามจะเสนอกลไกอื่นขึ้นมาทดแทน
2. เพิ่มข้อความในมาตรา 12 เรื่องคุณสมบัติขององคมนตรี ท่ีต้องไม่เป็นข้าราชการ โดยเพิ่มข้อความว่า "เว้นแต่การเป็นข้าราชการในพระองค์ในตำแหน่งองคมนตรี"
3. มาตรา 15 ตัดพระราชอำนาจในการแต่งตั้ง "สมุหราชองครักษ์" ออก
4. มาตรา 16 เพิ่มข้อความว่า จะทรงแต่งตั้งบุคคลหนึ่ง "หรือหลายคนเป็นคณะ" ให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ "หรือไม่ก็ได้"
5. มาตรา 17 กรณีไม่ได้แต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เพิ่มเงื่อนไขหาก "องคมนตรีเห็นว่ามีความจำเป็น" ให้เสนอชื่อบุคคล "หรือหลายคนเป็นคณะตามลำดับที่โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมกำหนดไว้ก่อนแล้ว" ได้
6. มาตรา 19 เพิ่ม วรรค 2 ให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งเคยได้รับการแต่งตั้ง และปฏิญาณตนแล้ว ไม่ต้องปฏิญาณตนอีก
7. มาตรา 182 ตัด วรรค 2 ที่ให้ผู้รับสนองพระบรมราชโองการเป็นผู้รับผิดชอบในกิจการทั้งปวง
อ่านเต็มๆ ต่อได้ที่ https://ilaw.or.th/node/4475
.
#เรื่องที่สอง กฎหมายจัดการทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์
16 กรกฎาคม 2560 ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2560 http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/075/1.PDF โดยที่ไม่ปรากฏว่าหน่วยงานใดจัดทำร่างและเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และมีการพิจารณากันเมื่อใด
"เหตุผล" ในการออกที่ระบุไว้ท้ายพระราชบัญญัติ อธิบายว่า โดยที่ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์เป็นทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์ทรงใช้ในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจต่างๆ จึงสมควรให้การจัดการทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย เพื่อให้การใช้ประโยชน์ทรัพย์สินนั้นเป็นไปโดยเหมาะสมตามที่จะทรงมีพระราชวินิจฉัยและเป็นไปตามโบราณราชประเพณี ซึ่งจะสอดคล้องกับการจัดระเบียบราชการในพระองค์ตามที่ได้มีการตรากฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการในพระองค์ขึ้นใช้บังคับแล้วด้วย
พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2560 ที่ออกใหม่นี้ ยังมีข้อแตกต่างที่สำคัญจากกฎหมายเดิม ได้แก่
1. ประธานและกรรมการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แก้ไขให้มาจากการแต่งตั้งตามพระราชอัธยาศัย
2. ยกเลิกระบบ “ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน” แล้ว และให้พระราชวัง หรือทรัพย์สินอื่นในประเภทนี้ไปรวมกับ "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" ในความดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
3. เปลี่ยนหลักการเสียภาษี ตามกฎหมายเดิม เขียนว่า ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ย่อมได้รับความยกเว้นจากการเก็บภาษีอากร เช่นเดียวกับทรัพย์สินของแผ่นดิน แต่กฎหมายใหม่แก้ไขเป็นว่า ทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ทุกประเภทจะต้องเสียภาษีอากรหรือได้รับยกเว้นภาษีอากรย่อมเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
อ่านเต็มๆ ต่อได้ที่ https://ilaw.or.th/node/4567
.
#เรื่องที่สาม การออกพ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลฯ
17 ตุลาคม 2562 สภาผู้แทนราษฎรลงคะแนนอนุมัติ พระราชกำหนดโอนอัตรากำลังพล และงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ พ.ศ. 2562 (พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลฯ) http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2562/A/103/T_0001.PDF ด้วยคะแนน เห็นชอบ 376 เสียง ไม่เห็นชอบ 70 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง
ในระหว่างการพิจารณา พ.ร.ก.ฉบับดังกล่าว ปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.พรรคอนาคตใหม่ ได้อภิปรายไม่เห็นชอบการออก พ.ร.ก.ดังกล่าว เนื่องจากเห็นว่า ไม่เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่คณะรัฐมนตรีจะออก เป็นพ.ร.ก. ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 172 วรรคสอง และเห็นว่าควรตรวจสอบการออกพระราชกำหนดของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์
ในมาตรา 3 ของ พ.ร.ก.โอนอัตรากำลังพลฯ บังคับให้โอนบรรดาอัตรากำลังพล และงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ และกรมทหารราบที่ 11 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมประกาศกำหนด ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการในพระองค์
อ่านเต็มๆ ต่อได้ที่ https://ilaw.or.th/node/5434
.
#เรื่องที่สี่ งบประมาณจากภาษีที่ใช้เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
ตามพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2563 ที่ใช้เวลาพิจารณาและถกเถียงกันในสภาผู้แทนราษฎรยาวนาน จนกระทั่งผ่านออกมาบังคับใช้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2563/A/015/T_0001.PDF ได้กำหนดการใช้จ่ายงบประมาณเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์เอาไว้ ซึ่งประชาไทสรุปไว้ว่า งบประมาณแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนที่ 1 รายจ่ายโดยตรง 19,685 ล้านบาทส่วนที่ 2 รายจ่ายโดยอ้อม 10,043 ล้านบาทรวม 29,728 ล้านบาท และยังมีโครงการที่ใช้ชื่อเกี่ยวเนื่อง 1,262 ล้านบาท
ตัวอย่างเช่น พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ได้รับความสะดวกปลอดภัยสูงสุด การถวายปฏิบัติการบินได้รับการตอบสนองอย่างสมพระเกียรติเมื่อได้รับการร้องขอ 5,528 ล้านบาท หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี การสนับสนุนถวายความปลอดภัย การถวายพระเกียรติ และปฏิบัติตามราชประสงค์ 1,201 ล้าน หน่วยงานที่รับผิดชอบ คือ สำนักปลัดกระทรวงกลาโหม
ส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกฯ งบก้อนใหญ่ที่สุดคือของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในแผนยุทธศาสตร์เสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ 1,976 ล้านบาท
กระทรวงมหาดไทย งบประมาณก้อนหลักนั้นหลายหน่วยงานนำไปดำเนินการในโครงการน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่การปฏิบัติ โดยแบ่งเป็นหลายกิจกรรม รวมวงเงิน 1,454 ล้านบาท
อ่านเต็มๆ ต่อได้ที่ https://prachatai.com/journal/2020/03/86761
...