ลงไปถึง “ดำเนินการใดๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดสภาวะที่ไม่ถูกสุขลักษณะ...ใช้เครื่องขยายเสียงด้วยกำลังไฟฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต” และสุดยอด ‘วิชามาร’ ของการสืบทอดอำนาจเผด็จการ ก็คือ “และข้อหาอื่นที่สอบสวนพบในภายหลัง” ด้วย
วันนี้ พวก ‘นักเรียนเลว’ นัดไปชุมนุมหน้ากระทรวงศึกษาธิการ ถามรัฐมนตรี ใครกัน (วะ) ตัวก่อเหตุ “สร้างความแตกแยก” ก่อนรัฐประหารปี ๕๗ ทั้งณัฏฐพล ทีปสุวรรณ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ และสกลธี ภัททิยกุล บุก ศธ.ออกคำสั่งไล่ข้าราชการกลับบ้านภายในครึ่งชั่วโมง
เด็กๆ ในสมัยของการสืบทอดอำนาจนี้ เขาเรียกกระทรวงของผัวทยาว่า “กระทรวงฝึกหมาพิการ” จึงชวนกัน “ออกมาปกป้องอนาคตของชาติ...ผูกโบว์ขาวให้กระทรวง ชูสามนิ้วร้องเพลงชาติ และมาเป่านกหวีดไล่นายณัฏฐพล”
เป็นการย้อนรอยประวัติศาสตร์ให้จะแจ้ง อย่าทำเป็นสมองเสื่อมความจำสั้น หรือ ‘สองมาตรฐาน’ และ ‘สามหาว’ พวกเราทำได้พูดได้ แต่พวกเขาทำบ้างพูดบ้าง กลายเป็นการปั่นป่วนยุยงไปเสียฉิบ เช่นที่ อานนท์ ปนัสยา (รุ้ง) ภาณุพงศ์ (ไม้ค์) และหลายคนกำลังโดน
สิบข้อที่คนเหล่านี้เสนอไว้ตอนท้ายของการอภิปรายบนเวทีเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหา แม้จะเป็นหัวข้อหวือหวา ‘ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์’ แต่เนื้อหาเต็มไปด้วยการสร้างสรรค์ เพื่อให้สังคมไทยผ่องใส “ธำรงไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์สมัยใหม่ในระบอบประชาธิปไตย” เทียบเคียงอารยะประเทศ
จึงได้มี ‘ภาคประชาสังคม’ เข้าชื่อกัน*ยืนยันว่าอ่านแล้วโดยละเอียด “ไม่มีข้อใดก้าวล่วง-จาบจ้วงสถาบันกษัตริย์” แต่อย่างใด การเขียนข้อความสามหาวของ ทรงกลด ชื่นชูผล วิจารณ์พระเชษฐภคิณีของรัชกาลปัจจุบันเสียอีก เข้าข่ายยิ่งกว่า
หากจะยึดเอามาตรฐานคำพิพากษาศาลจังหวัดพัทยาเมื่อวานนี้ ต่อคดีหมิ่นประมาทราชวงศ์ในรัชกาลที่ ๙ ตั้งแต่กลางปี ๒๕๕๙ ระบุว่า “ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ไม่ได้คุ้มครองแค่พระมหากษัตริย์ พระราชินี แต่คุ้มครองไปถึงพระบรมวงศานุวงศ์” ทั้งหลายด้วย
ศาลขยันเอ่ยพระนามลงไปกระทั่งพระเจ้าลูกเธอที่มิได้ทรงกรม เช่น “ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์ราชกัญญา” และ “พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์” เลยทีเดียว ฉะนี้ใครก็ได้จะไปยื่นฟ้อง ‘ผู้กองปูเค็ม’ ย่อมทำได้
แม้นว่านายกรัฐมนตรีอ้างพระเจ้าอยู่หัวฯ ไม่ทรงโปรดให้บังคับใช้มาตรานี้ มือปราบของรัฐบาลก็เลยใช้วิชามารแบบสร้างสรรค์ เลี่ยงไปใช้กฎหมายชุมนุมบ้าง ผนวกกับกฎหมายอื่นๆ เช่น พรบ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งก็น่าจะใช้กับปูเค็มได้เช่นกัน
กระนั้นก็ตาม ‘ปูเค็ม’ อาจเส้นใหญ่กว่าพระเชษฐภคิณี ฤๅว่าบรรดาผู้จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์เหลือหลาย เห็นการนำรูปแต่งกายเอามาวิจารณ์ว่าเคย “ทำให้พ่อแม่เสียใจ” แก่แล้วยัง “บ่อนทำลายครอบครัว” เป็นการแสดงความคิดเห็นอันแตกต่างหลากหลายละก็
รัฐบาลควรต้องกระโดดเข้าไปจัดการพิจารณาข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาทันที ดังที่ภาคประชาสังคมแนะ “ควรถือโอกาสนี้พินิจพิจารณาข้อเสนอดังกล่าวอย่างถ่องแท้ และขบคิดแลกเปลี่ยนจากมุมมองและความเข้าใจของหลายฝ่าย”
ในเมื่อ “ข้อเสนอทั้ง ๑๐ ข้อไม่ได้เกินเลยกรอบกฎหมายแต่อย่างใด อีกทั้งยังเปิดพื้นที่ให้มีการถกเถียงพูดคุยอย่างจริงจัง อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในสังคมไทย” มิใยที่ “ยังเป็นเสรีภาพที่ได้รับการรับรองโดยรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ซึ่งได้รับการรับรองโดยกติกาสากล” ด้วย
(https://prachatai.com/journal/2020/08/89031, https://www.facebook.com/thammasattoday/posts/200974704695557? และ https://prachatai.com/journal/2020/08/89096)
*หมายเหตุ ขณะเขียนมีจำนวน ๕๔๖ คน ป่านนี้คงเพิ่มอีกเยอะ ใครอยากร่วมไปลงชื่อกันได้ที่ https://docs.google.com/forms/d/e/1FATVzmQ
เช่นเดียวกับ การเข้าชื่อยื่น ‘ร่วมรื้อ ร่วมสร้าง ร่วมร่างรัฐธรรมนูญ’ ซึ่งต้องการอย่างน้อย ๕ หมื่นชื่อ รณรงค์กันมาตั้งแต่วันที่ ๗ สิงหา ขณะนี้ “รวบรวมได้แล้วถึง ๒๐,๐๐๐ ชื่อ” ตามไปลงชื่อเพิ่มเติมกันได้ที่ https://ilaw.or.th/50000Con%20