ภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ประธานกรรมาธิการรับฟังความคิดเห็นนักเรียนนักศึกษาฯ โพสต์ข้อความก่อนปรากฏข่าวว่า “เตรียมลงพื้นที่ชุมนุมต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อรับฟังความคิดเห็นของนักศึกษาอย่างรอบด้าน...
และจะจัดทำรายงานข้อเสนอส่งไปยังกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งหน่วยงานอื่นๆ ว่าต้องรับผิดชอบในประเด็นใดบ้าง” ทางที่ดีควรมีรายละเอียดเป้าหมาย หรือ ‘agendas’ ออกมาเสนอด้วยว่า มุ่งหาความจริงประเด็นใดบ้าง จะได้ไม่สะเปะสะปะ
ในเมื่อชัดเจนอยู่แล้ว พวกเด็กที่จัดชุมนุมกันด้วยวีธีการต่างๆ ชนิดเป็นนวัตกรรมของคนรุ่นใหม่ ไม่ซ้ำรุ่นไหน กลายเป็นพันธกิจที่ต้องกระทำกระจายไปทั่ว ไม่ว่าสถานศึกษาแห่งใดทั่วประเทศ ชนิด ‘ผู้ใหญ่’ หรือ ‘ผู้ดูแล’ รุ่นนี้ตามไม่ทัน
ดูแต่เมื่อ มศว.ไปทำกิจกรรมกันแฟล้ชม็อบที่สกายว้อคปทุมวัน วานนี้ (๓๑ ก.ค.) ยืนนิ่งๆ ๑๐ นาฑี ชูกระดาษขาว ๑๐ แผ่น ทำเอาตำรวจ สน.ปทุมวันที่ไปดักสกัดเอะใจ ว่าเด็กมาอีท่าไหนกัน ไม่มีร้องรำทำเพลง ไม่เต้น ไม่ปราศรัย ไม่ต้องใช้แรงกายมากมาย
“๑๐ ปีที่ผ่านมาเราสูญเสียอะไรไปบ้าง และ ๑๐ ปีต่อไปเราอยากได้อะไรบ้าง” นักข่าวถามผู้ร่วมกิจกรรมคนหนึ่ง พูดถึงความกังวลของตน “เรื่องการสร้างเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ที่องครักษ์ มูลค่า ๑๐๖,๐๐๐ ล้านบาท” ที่ชาวบ้านคัดค้าน ว่ารัฐใช้อำนาจพิเศษเอื้อประโยชน์นายทุน
เรื่องอย่างนี้ กรรมาธิการที่จะออกไปฟังความคิดเห็นจะได้ฟังอย่างหลากหลาย นอกจากข้อเรียกร้องหลัก ๓ อย่างที่ดูจะเป็นเป้าหมายรวมของทุกกลุ่ม ยุบสภา นายกฯ ลาออก และแก้รัฐธรรมนูญ ไหนก่อนไหนหลัง ยังสรุปไม่ลง ควรเป็นหน้าที่ของกรรมาธิการ
สำหรับการแก้รัฐธรรมนูญนั้น แม้นมีข้อเสนอจากพรรคการเมือง โดยเฉพาะฝ่ายค้านประกาศกันไว้แล้วอย่างเป็นระบบ เป็นเรื่องเป็นราว ล่าสุดกรรมาธิการวิสามัญสภาผู้แทนฯ ได้ข้อสรุปเป็นมติว่า จักต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแน่
เริ่มที่มาตรา ๒๕๖ ซึ่งผู้ร่างตามสั่ง คสช. (มีชัย ฤชุพันธุ์ เคยยอมรับแล้วว่าเป็นจริง) กำหนดขึ้นเพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทำได้ยากยิ่ง กรรมาธิการซึ่งมีนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ปชป.อีกหนึ่งในพรรคร่วมรัฐบาล เป็นประธาน ยังก้าวไปอีกขั้น
“มีความเห็นตรงกันว่าควรต้องมีการยกร่างใหม่ทั้งฉบับ ซึ่งอาจต้องมีการเสนอตั้ง ส.ส.ร. ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ” โดยรองประธานฯ โภคิน พลกุล จากพรรคเพื่อไทยเพิ่มเติมว่า จะนำเอาการการแก้ไขรัฐธรรมนูญในปี ๒๕๓๔ มาเป็นโมเดล
“แต่ร่างที่กรรมาธิการฯ เสนอไว้ให้เลือกคนมาเป็น สสร. ๒๐๐ คน ต้องมีอย่างน้อยจังหวัดละ ๑ คน ถ้าจังหวัดใหญ่ก็มีได้หลายคน” อันต่างกับปี ๓๔ ที่จังหวัดคัดเลือกกันเองมาแห่งละสิบคนให้สภาเลือกเหลือแห่งละ ๑ คน รวมกับนักวิชาการที่สภาเลือกเพิ่มจนครบ ๙๙ คน
(https://www.innnews.co.th/politics/news_735406/, https://www.khaosod.co.th/politics/news_4616991 และ https://tna.mcot.net/politics-484613)
ในการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญของกรรมาธิการนั้น มีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมมากมาย ซึ่งเข้าถึงประเด็นต่างๆ อันจำเป็นต่อการมีรัฐธรรมนูญ ที่จะสะท้อนและตอบสนองต่อประชาชน ในทางประชาธิปไตยอย่างแท้จริงได้ หนึ่งนั่นมาจาก ปิยบุตร แสงกนกกุล แห่งคณะก้าวหน้า
ร่างแก้ฯ อีกฉบับ “เพื่อยกเลิกสี่มาตรา คือ ๒๖๙-๒๗๒ ที่ว่าด้วยเรื่อง ส.ว. ตามบทเฉพาะกาล” ผลก็คือจะไม่มีวุฒิสมาชิก ๒๕๐ คนมาคอยโหวตให้แก่ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือใครในฝ่ายสืบทอดอำนาจรัฐประหาร มาเป็นนายกรัฐมนตรีเช่นปัจจุบัน
และฉบับที่สาม ปรับให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญทำได้ง่ายขึ้น พร้อมทั้งกำหนดการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยให้มีการเลือกตั้ง สสร.ขึ้น ซึ่งปิยบุตรบอกว่า ร่างแก้ไขฯ สองฉบับแรกทำได้ทันที แต่กรณี สสร.ต้องมีประชามติตามมา
ข้อดีก็คือการทำประชามติครั้งนี้ ไม่มีการกดดันจาก คสช.ที่ห้ามค้าน ห้ามวิจารณ์ คนต่อต้านถูกจับไปขัง และแน่นอนที่สุดจะไม่มี สว.มาคอยเป็นตัวถ่วง หรือใช้ ๒๕๐ เสียง ‘ตู่ตั้ง’ มาตั้งหน้าคัดค้าน
(https://www.facebook.com/PiyabutrOfficial/photos/a.2260389780911559/2769259596691239/?type=3&theater)
