เรื่องดีๆ มีมาให้อ่าน ในวันสยองขวัญ ‘Friday
the 13th’ “ฉากสงครามระหว่างมนุษยชาติกับไวรัส โควิด-๑๙”
เขาเล่าจากเรื่องราวของ “หนุ่มน้อยพนักงานบริษัทประกันแห่งหนึ่งย่านสาทร”
“เพื่อยกย่องเหล่าบุคลากรแนวหน้า ที่คอยต่อสู้กับไวรัสที่ร้ายแรงที่สุดของมนุษยชาติในรอบกว่าสิบปี”
กับภาพหรูๆ เก็บมาให้ดูจาก “คอลเล็กชันครบรอบ
๑๕ ปีของแบรนด์ SIRIVANNAVARI ที่ทรงออกแบบ”
เดอะสแตนดาร์ดตีพิมพ์ไว้ในวันเดียวกัน ‘13.03.2020’
เพื่อเป็นกำลังใจกระทรวงพาณิชย์ไทย
ที่โดนชาวบ้านด่าเรื่องหน้ากากอนามัยหายากทุกวันนี้ อย่างน้อยๆ ได้เห็นผลงาน ‘กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ’ จัดให้ ๑๓ ล้านบาทไทยไปใช้ในต่างประเทศ ไว้บอกเล่ากันเอง (อย่าได้บอกใครอื่นล่ะ)
ว่า “กรูเดินมาถูกทางแล้ว” (มั้ง)
สองเรื่องนี่จับมาชูคู่กัน
ให้เห็นทั้งความไม่เหมือนและแตกต่าง ฝรั่งเรียก ‘Juxtaposing’
(ยาวหน่อยแต่อ่านแล้ว ‘มัน’ ดี หรือใครชมเสร็จแล้วจะเอาไป ‘ชั่ง’ ก็ไม่ว่า)
เหตุเกิดที่ รพ.จุฬาฯ :สงครามระหว่างมนุษย์กับไวรัส
March 11 at
4:40 PM.
หากวันนี้…คือฉากสงครามระหว่างมนุษยชาติกับไวรัสโควิด-19
ที่นี่เสมือนเป็นสมรภูมิแนวหน้า และผมก็เหมือนเป็นพลเรือนที่ได้อยู่ในสมรภูมินี้พอดี
เมื่อผมหายใจเข้า ผมเจ็บปอดซ้าย
บ่ายวันที่สี่ของการกักตัวเองในบ้านหลังจากกลับจากญี่ปุ่น
ผมรู้สึกไม่ดีมากๆ ทั้งเจ็บคอ ไอ จามไม่หยุด
โลกในวันที่เราต้องคิดถึงคนรอบข้างอย่างยิ่งยวด
ในยุคที่หากเราไอไม่ปิดปากหรือออกไปเดินห้างหลังจากกลับจากญี่ปุ่นหรือเกาหลี
เราจะกลายเป็นแม่มด และโซเชียลทั้งประเทศพร้อมจะออกไล่ล่าคุณทันที…
ผมไม่มีทางเลือกนอกจากจะรีบไปให้ถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด
ถึงตอนโทรไปทางโรงพยาบาลจุฬาฯ
จะบอกมาว่าผมมาไม่ทันตรวจวันนี้แล้ว แต่ผมไม่อยากปล่อยให้เรื่องมันแย่กว่านี้
ผมลองคุยกับเจ้าหน้าที่ตรงตึก ภ.ป.ร ดู เขาช่วยแฮะ
“ไปตึกจงกลนี” และพอไปถึงตึกจงกลนี
เจ้าหน้าที่บอกผม “ต้องไปตึกภูมิศิริ” และเมื่อได้คุยกับเจ้าหน้าที่ของตึกภูมิสิริก็ต้องเดินกลับมาจงกลนีใหม่…นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่กำชับว่า
“ที่ตึกนั่นคือตึกรักษาผู้ป่วยโควิดมีคนที่อาจจะติดเชื้อเดินอยู่เต็มไปหมด
ระวังตัวนะน้อง”
บุรุษพยาบาลเดินออกมารับใบพร้อมซักประวัติผมอีกรอบ นัยน์ตาเขาเบิกโพลง ผมวัดไข้ได้ 38
กว่า สูงกว่าตอนบ่ายอีก (อาจคงเพราะเดินไปเดินมาด้วย)
ได้คำอุทานตอบกลับมาคำนึง “ไอ้หยา?!”
บุรุษพยาบาลรีบวิ่งเข้าไปหลังห้องกระจกเค้าท์เตอร์
พูดอะไรบางอย่าง จากนั้นสายตาเกือบสิบคู่หันมามองผม… ไอ้เราก็เริ่มใจแป้ว
ก่อนพบหมอ
ผมต้องผ่านประตูแอร์ล็อคชั้นแรกก่อน จากนั้นหมอซักประวัติผม ส่องคอ และฟังเสียงปอด
“แจ้ง Code PUI เตรียม Throat swab และเตรียมห้องให้ด้วย”
..... .....
[* PUI = PATIENT UNDER INVESTIGATION
ผู้เข้าข่ายเกณฑ์สอบสวนโรค คนกลุ่มนี้มีทั้งอาการและและประวัติเสี่ยง ต้องแยกกักอย่างเข้มงวด]
ผู้เข้าข่ายเกณฑ์สอบสวนโรค คนกลุ่มนี้มีทั้งอาการและและประวัติเสี่ยง ต้องแยกกักอย่างเข้มงวด]
..... .....
นาทีถัดมาทั้งหมอและพยาบาลกลับเข้ามาด้วยชุดกันป้องกันติดเชื้อเต็มสตรีม
ราวกับออกมาจากหนังผีชีวะ เสื้อคลุม หน้ากาก ถุงมือ แว่นตา และ Face
Shield
บุรุษพยาบาลนำผมไปเอกซเรย์ปอด
เราต้องเดินผ่านประตูแอร์ล็อกกระจกอีก 2 ชั้น
บานแรกเปิดแล้วต้องปิดก่อนที่บานถัดไปจะสามารถเปิดได้ วิธีเปิดใช้มือโบกผ่านเซนเซอร์ริมกำแพง
จากตรงนี้เป็นต้นไปสังเกตเห็นเครื่องพ่นแอลกอฮอล์อัตโนมัติตลอดสองฝั่งทุกบานแอร์ล็อก
มันดูสุโก้ยมาก
จากนั้นมีพยาบาลอีกคนแต่งตัวป้องกันเต็มยศเช่นกัน
พาเดินผ่านแอร์ล็อกกระจกบานที่ 3 ผมเห็นป้าย
“คลินิคโรคโรคอุบัติใหม่” มีแอร์ล็อกกระจกบานที่ 4 มีลิฟต์อยู่ข้างใน
และมีพยาบาลอีกคนลงมารอรับตัว
พอเข้ามาหลังบานที่ 4
พยาบาลคนแรกบอกว่ามาส่งได้แค่นี้
พยาบาลอีกคนมาพาขึ้นลิฟต์ถึงชั้น 4
ก็ต้องเดินผ่านแอร์ล็อกกระจกบานที่ 5 ผมเห็นโถงทางเดินยาว
สองฝั่งของทางเดินมีแอร์ล็อกยาวสุดสายตา ที่ริมกำแพงมีประตูแอร์ล็อกโลหะทึบบานใหญ่
มีช่องกระจกเล็ก ๆ เหมือนตู้เซฟนิรภัยธนาคาร เรียงรายตลอดแนว มีราว 5-6 ห้อง
มุมมองตอนนั้นเหมือนหลุดมาอยู่ในโลกเกมซอมบี้ชื่อดัง
ทุกอย่างดูไฮเทคและดูมีความปลอดภัยทางชีวภาพขั้นสูงมาก พยาบาลนำผมไปถึงหลังประตูแอร์ล็อกเหล็กห้อง
403
วินาทีที่ผมเดินผ่านประตูนั้น
ผมก็ไม่ใช่คนปลอดภัยอีกต่อไป…ผมกลายเป็นผู้ต้องเฝ้าระวัง
ผู้โดนกักบริเวณโดยสมบูรณ์ ใช่แล้วนี่แหล่ะคือห้องที่เรียกว่า
ห้องกักกันหรือห้องความดันลบ*
..... .....
[* ห้องความดันลบ
ห้องที่เขาจะอัดอากาศสะอาดไว้รอบนอกห้อง ความดันในห้องนี้จะต่ำกว่าข้างนอกเสมอ
ดังนั้นทุกครั้งที่ประตูห้องเปิดอากาศภายนอกไหลเข้ามาภายในได้อย่างเดียว
เพื่อไม่ให้เชื้อที่อยู่ในห้องกระจายออกไปภายนอกได้เด็ดขาด…]
..... .....
ห้องหลังประตูเหล็ก…สะอาดมาก โล่ง
ไม่มีของตกแต่งใดๆ เลย พี่พยาบาลบอกว่าเขาจะมาวัดไข้ทุก 4
ชม. แล้ว 6 โมงเช้าเจาะเลือดตรวจ PCR และที่สำคัญไม่อนุญาตผู้ป่วยออกไปนอกประตูเด็ดขาด มีกล้องคอยดูอาการตลอด 24
ชม. !!
ทุกครั้งที่พยาบาลเข้ามาชุดป้องกันเต็มยศเสมอ
แต่พอออกไปนอกประตูกระจกก่อนออกจากห้องทางประตูโลหะนั่น จะถอดชุดอย่างระมัดระวัง
และทิ้งทุกอย่างลงถังขยะใบใหญ่ ไม่ว่าจะถุงมือที่ใส่สองชั้น ชุดป้องกัน หน้ากาก
หมวก แว่นครอบตา Face Shield ที่ครอบเท้า
ทุกอย่างใช้ครั้งเดียวทิ้ง มันเหมือนกับหนังวิทยาศาสตร์จริงๆ
หากวันนี้…คือฉากสงครามระหว่างมนุษยชาติกับไวรัสโควิด-19 ที่นี่เสมือนเป็นสมรภูมิแนวหน้าและผมก็เหมือนเป็นพลเรือนที่ได้อยู่ในสมรภูมินี้พอดี…
กว่าสิบแปดชั่วโมงที่ผมโดนกักกัน…โชคยังดีที่ยังเล่นมือถือได้ทำให้ผมเบื่อมากนัก จนราวบ่ายสามวันรุ่นขึ้น…จนท.แลปผู้ชายที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นเสียง เดินนำเข้ามาทักทายโดยไม่ใส่ชุดป้องกัน
วินาทีนั้นผมโคตรดีใจ คือรู้ผลโดยไม่ต้องบอกเลย (เพราะถ้าเป็น covid
19 เขาต้องแห่เข้ามาด้วยชุดป้องกันเต็มยศแน่นอน)
“ปลอดภัยครับ ผลเป็นลบ
แต่ยังไงก็ขอให้ป้องกันดูแลตนเองไว้ก่อน”
ครั้งนี้ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตขั้นสุดที่หาไม่ได้จากที่ไหน
ไม่น่าจะมีใครเหมือนมากนัก และไม่ควรมาเหมือนด้วย ผมได้ไปเห็นกับตาว่าบ้านเรามีเทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูง
ขั้นตอนปฏิบัติตามความปลอดภัยขั้นสูงในโรงพยาบาลรัฐ ในตึกที่ภายนอกดูทรุดโทรม
แต่ภายในคือระดับเวิร์ลคลาส
“ผมได้กลับบ้านแล้ว” ตอนเดินกลับออกไป
แน่นอนต้องเดินทะลุแอร์ล็อกอีกถึง 4 บาน
แต่บานสุดท้ายพี่พยาบาลไม่ได้ออกมาด้วย ขนาดจ่ายเงินยังต้องขอให้ใช้ 'โมบายแบงค์กิ้ง' เลย เพราะเจ้าหน้าที่เหล่านี้ไม่สามารถออกจากตึกนี้ได้เลยตลอด 24
ชั่วโมง จะไปหน่วยบัญชีหยิบใบเสร็จอะไรประมาณนี้ก็แน่นอน
ทำไม่ได้เลย
ท้ายสุดพี่เค้าก็อวยพรให้ปลอดภัยรักษาตัวเองให้ดี
เจ้าหน้าที่แนวหน้าที่ต้องดูแลผู้ป่วย ทุกคนไม่ได้อยู่สุขสบาย
มีแต่อยู่กับความเหนื่อย ความเสี่ยงอันตรายทั้งนั้น
แต่พวกเค้าก็ยังมาดูแลด้วยความสุภาพยิ้มแย้ม คอยให้กำลังใจผู้ป่วยเสมอ
ฮีโร่ที่แท้จริง ไม่ได้มีเสื้อคลุมสีแดง
ไม่ได้ใส่ชุดเกราะปล่อยแสง ไม่ได้ถือโล่ไวเบรเนียม แต่คือคนที่ใส่แค่หน้ากากอนามัย
แต่พร้อมที่จะเสียสละแบบพวกคุณนี่แหล่ะ
..... .....
PS. ขอมอบโพสต์นี้เพื่อยกย่องเหล่าบุคลากรแนวหน้าที่คอยต่อสู้กับไวรัสที่ร้ายแรงที่สุดของมนุษยชาติในรอบกว่าสิบปี
ขอขอบคุณ Mr. K หนุ่มน้อยพนักงานบริษัทประกันแห่งหนึ่งย่านสาทรที่เล่าเรื่องให้ผู้เขียนนำมาเรียบเรียง
ภาพในบทความใช้เพื่อสร้างอรรถรส และให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น
ไม่ได้มีจุดประสงค์โฆษณาใดๆ
บทความ : วิน เวธิต www.marumura.com
Source : https://www.marumura.com/covid-19/…
Source : https://www.marumura.com/covid-19/…
---------------------------------
Mythos Poética คอลเล็กชันล่าสุดจากแบรนด์
SIRIVANNAVARI และ S'HOMME Spring/Summer 2020 ผลงานทรงออกแบบในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา
ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบทกวีพระนิพนธ์สุดโรแมนติกในตำนานกรีกโบราณ
โดยจะเห็นได้ผ่านเสื้อผ้าที่มีรายละเอียดของการปักเย็บ สีสัน
และลายพิมพ์ในทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า และเครื่องประดับของบุรุษและสตรีจำนวนถึง 67
ลุค
(https://thestandard.co/sirivannavar-shomme-spring-summer-2020/-gk)