วันพุธ, มีนาคม 25, 2563

ออกพรก.ฉุกเฉิน เพื่อ ? ปิดปาก ??


..


ใช้พรก.ฉุกเฉินอย่างไม่ฉุกเฉิน

การที่ครม.มีมติให้ใช้พรก.ฉุกเฉินตั้งแต่วันที่ 26 มีค.โดยไม่ได้ประกาศมาตรการใดๆทำให้ผู้คนผิดหวังกันไปทั่ว

การรับมือแก้ปัญหาโควิด19 เป็นไปอย่างไม่มีทิศทาง ขาดเอกภาพ ไม่มีนโบายและมาตรการที่ชัดเจน ไม่มีประสิทธิภาพ ล่าช้าไม่ทันการณ์ ทำให้การระบาดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มีแนวโน้มที่น่าวิตก

มีการเสนอจากนายแพทย์นักวิชาการและฝ่ายต่างๆถึงความจำเป็นที่จะตองใช้มาตรการที่เข้มข้นขึ้นและรีบแก้ปัญหาต่างๆที่มีอยู่ให้ได้โดยเร็ว เมื่อมีข่าวว่ารัฐบาลจะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ประชาชนจึงคาดหวังว่าจะเป็นการประกาศพร้อมกับมาตรการที่เข้มข้น เป็นระบบที่จะสามารถแก้ปัญหาสำคัญๆได้

แต่ประชาชนต่างก็ต้องผิดหวังเพราะเป็นประกาศที่ไม่ได้มีมาตรการหรือความคืบหน้าในการแก้ปัญหาใดๆเลย ซ้ำการที่มีมติให้ใช้พรก.ฉุกเฉินในวันที่ 26 มีค. ซึ่งห่างออกไปอีกถึง 2 วัน ก็ทำให้เกิดความรู้สึกว่ารัฐบาลไม่ได้เห็นสถานการณ์ขณะนี้เป็นสถานการณ์ฉุกเฉินจริงอย่างชื่อพรก.

ครม.รออะไร ในเมื่อไวรัสไม่เคยรอใคร

ผมทราบความเป็นมาของการมีพรก.ฉุกเฉินฉบับนี้ดีและเคยเป็นผู้ใช้พรก.นี้แทนนายกรัฐมนตรีมาก่อน ความเป็นมาและวัตถประสงค์ของการมีพรก.ฉบับนี้ขึ้นมาเพื่อรับมือกับปัญหาความไม่สงบเป็นหลัก แม้จะมีข้อความเกี่ยวกับเรื่องภัยพิบัติหรือภัยธรรมชาติอยู่บ้างก็ไม่ใช่เรื่องที่พรบ.นี้จะให้ความสำคัญ

ความจริงพรบ.โรคติดต่อและกฎหมายทางด้านสาธารณสุขก็ให้อำนาจรัฐบาลและทางราชการแก้ปัญหาได้มากมายอยู่แล้ว แต่ก็พอเข้าใจว่าที่ใช้พรก.ฉุกเฉินเพราะต้องการให้นายกฯมีอำนาจสั่งการตามพรบ.ต่างๆได้โดยรวมศูนย์อำนาจมาอยู่ที่นายกฯแต่เพียงผู้เดียว นอกจากนั้นก็ต้องการใช้อำนาจในการสั่งการต่างๆที่จำเป็นได้

แต่ปัญหาก็คือพรก.ฉุกเฉินนี้มีสาระที่ไม่ค่อยสอดคล้องกับปัญหาการแพร่ระบาดของโรค โครงสร้างของคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีนายกฯเป็นประธาน เต็มไปด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพและมีเลขาธิการสภาความมั่นคงเป็นเลขานุการนั้น จะหวังให้คณะกรรมการชุดนี้มานำหรือกำกับการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดไม่ได้ ยิ่งฟังนายกฯแถลงว่าศอฉ.จะประชุมแก้ปัญหาเป็นเรื่องๆในแต่ละวัน ยิ่งทำให้เป็นว่าการใช้พรก.ฉุกเฉินจะไม่สามารถแก้ปัญหาความไม่เป็นเอกภาพและไม่มีองค์กรนำอย่างเป็นระบบที่เป็นอยู่ได้

นอกจากนี้ กฎหมายนี้ยังให้อำนาจนายกฯเกินจำเป็นที่อาจนำไปสู่การใช้อำนาจในทางที่ไม่ถูกต้องเช่นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชนเป็นต้น

จากที่นายกฯแถลงวันนี้ ทำให้เกิดความวิตกกันว่าวัตุประสงค์แท้จริงของการเลือกใช้พรก.ฉุกเฉินอาจจะเป็นเพราะรัฐบาลต้องการจัดการกับสื่อและประชาชนที่เห็นต่างจากรัฐบาล ซึ่งหากเป็นจริงจะเป็นอันตรายต่อการแก้ปัญหาอย่างมากเพราะจากประสบการณ์ของประเทศต่างๆบอกเราว่าสิ่งที่ทำให้ประเทศต่างๆแก้ปัญหาได้ดีก็คือความโปร่งใสตรวจสอบได้และการให้มีเสรีภาพในการแสดงความเห็น

อย่าลืมว่าการปิดกั้นเสรีภาพในการพูดความจริงได้ทำให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวงในบางประเทศมาแล้ว

สถานการณ์ในขณะนี้อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ น่าเสียดายที่ในการแถลงวันนี้นายกฯไม่ได้แสดงให้เห็นทิศทางในการแก้ปัญหา แถลงมติครม.ที่คนรอฟังกันทั้งประเทศเสร็จแล้ว ไม่ทำให้เห็นความหวังได้บ้างเลยว่าจะทำอย่างไรให้สถานการณ์ดีขึ้น

ก็คงต้องรอดูว่าการใช้พรก.ฉุกเฉินและการจัดตั้งศอฉ.ขึ้นจะทำให้เกิดทิศทาง นโยบายและมาตรการในการแก้ปัญหาที่ชัดเจนหรือไม่

แต่อีก 2 วันปัญหาจะเลวร้ายลงไปอีก มีปัญหามากมายทีมีอยู่ต้องการการแก้ไขโดยเร็ว

ขณะนี้โรงพยาบาล เตียง ห้องไอซียู เครื่องช่วยหายใจ เครื่องป้องกันการติดเชื้อของหมอพยาบาล ขาดแคลนอย่างหนักแล้ว เวลานี้ต่างคนต่างหาทางแก้ปัญหากันจ้าละหวั่นไม่มีหน่วยงานใดเป็นเจ้าภาพดูแล หน้ากาก เยลล้างมือสำหรับประชาชนขาดแคลนมาตลอดก็ยิ่งขาดแคลนหนักขึ้น ต้องแก้วันนี้และคงต้องแสดงให้เห็นว่าเมื่อใช้พรก.ฉุกเฉินและศอฉ.แล้วจะแก้อย่างไร

การกักตัวเฝ้าระวังที่เป็นระบบขนาดใหญ่ที่ยังไม่มีเลย จะต้องสร้างขึ้น มิฉะนั้นจะกลายเป็นมีคนติดเชื้อมหาศาลจนหมอพยาบาลดูแลไม่ไหว ล่มทั้งระบบ ป่วยแล้วไม่มีใครรักษา

ถึงอย่างไรประเทศไทยต้องไปถึงจุดที่ต้องล็อคดาวน์ทั้งประเทศแน่ ยิ่งเนิ่นนานไปอย่างที่รีๆรอๆอยู่ก็ยิ่งเสียหาย ควรจะต้องมีการวางแผนเตรียมการที่จะดูแลประชาชนที่จะต้องหยุดงานอยู่บ้านกันจำนวนมหาศาล กิจการห้างร้านที่ปิดจะได้รับการดูแลอย่างไรและกิจการที่จำเป็นต้องเปิดต่อไปจะช่วยเขาอย่างไร และต้องมีการวางแผนทั้งระบบไม่ให้เกิดความโกลาหล

เมื่อใช้พรก.ฉุกเฉิน รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ทำอะไรก็ไม่ผิดกฎหมาย จะทำอย่างไรให้เกิดความพอดี ไม่ให้ประชาชนที่ลำบากอยู่แล้วต้องเดือดร้อนจากการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่มากเกินไป

เรื่องเหล่านี้ต้องเตรียมทั้งนั้น หวังว่าวันที่ 26 มีค.ที่เริ่มใช้พรก.ฉุกเฉิน รัฐบาลจะมีแผนมาตรการที่จะแก้ปัญหาและรองรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
..



คนอยากเห็นอะไรในการประกาศภาวะฉุกเฉิน-นี่หมายถึงคนเห็นด้วยนะ
อันดับแรกคืออยากเห็นการบัญชาการที่เป็นเอกภาพ โดยผู้เชี่ยวชาญ ในสถานการณ์พิเศษ
เช่น ศอฉ. ต้องตั้งทีมหมอเข้าไปนั่ง เหมือน ครม.ชุดพิเศษ สั่งการ ตามความเห็นผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่ไอ้โง่ไอ้กุ๊ย
นายกฯ อาจเป็นหัวหน้า เพราะต้องประสานงาน ต้องมีฝ่ายต่างๆ ที่จะสนับสนุนงานสาธารณสุข เช่น มหาดไทย คลัง ตำรวจ ทหาร พาณิชย์ แรงงาน แต่คนสำคัญต้องเป็นหมอ ที่จะกำหนดมาตรการ
ภาวะฉุกเฉินมีประโยชน์อะไร ก็สามารถสั่งคนหยุดงาน คือสั่งบริษัทให้หยุด คนไม่ต้องไปทำงาน สั่งห้ามเดินทาง ให้อยู่บ้าน (แต่รัฐอำนวยความสะดวก) เพราะคนกลัวกันว่าแค่ขอความร่วมมือ กักตัว จะเอาไม่อยู่
ดังนั้นถ้าจะมีการใช้อำนาจตำรวจทหาร ก็แค่เนียะ คือควบคุมการเดินทาง (ซึ่งเมริงต้องไปคิดอีกนะ จะห้ามคนอย่างไร ฝรั่งเขามีแอพให้ลงทะเบียนแล้วออกจากบ้านได้ 1 ชั่วโมงเพื่อไปซื้อยาซื้ออาหารของจำเป็น หรือถ้าเขามีความจำเป็นอื่นๆ ที่ต้องเดินทางจะขออนุญาตใคร)
แล้วโดยพื้นฐาน ถ้ารัฐอำนวยความสะดวก ถ้าไม่ต้องไปทำงานแล้วยังได้เงินเดือน ใครแม่-ก็ไม่อยากออกจากบ้านหรอก ฉะนั้น ไม่ต้องใช้อำนาจบังคับแบบเมริงปราบเสื้อแดง ทหารที่ตรวจด่านก็ไม่ต้องถือเอ็ม 16 แต่ถือเลเซอร์เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิแทน
ส่วนอื่นๆ ของ พรก.ฉุกเฉิน เช่นอำนาจจับคนโดยไม่ต้องรับผิดชอบ อำนาจจับไป 7 วันโดยไม่ต้องขอหมายศาล จึงไม่จำเป็น แน่จริงเมริงไปจับไวรัสโดยไม่ต้องขอหมายศาลสิ
อำนาจเหล่านัี้ต่างหาก ที่มันจะล้นเกิน เช่นอ้างว่าจะจับเฟคนิวส์
ถามว่าโดยสันดานเผด็จการ โดยสันดาน กปปส. มันจับใคร ก็จับคนเห็นต่าง คนคัดค้านมาตรการรัฐบาล วิพากษ์วิจารณ์ ถ้าออกมาตรการเฮงซวยไม่เอาไหน เช่นที่ไปจับศิลปินจากภูเก็ต เป็นผู้ร้ายตัวเอ้ในสงครามไวรัส
ขณะเดียวกันมันยังสามารถใช้อำนาจปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร ควบคุมสื่อ ซึ่งเป็นคนละเรื่องกันกับสงครามไวรัส เว้นแต่ต้องการปิดตัวเลขคนติดเชื้อ
รัฐบาลล้มเหลว ล้มละลาย ผนง. ประชาชนไม่เชื่อถือ ที่ผ่านมาก็ออกมาตรการเละเทะ ใช้ พรก.ฉุกเฉินแล้วจะฉลาดขึ้นไหม
หรือยิ่งโง่ ยิ่งดันทุรัง แต่ใช้อำนาจปิดปากกวาดล้างจับกุม