ถึงจะบอกว่า “เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ”
ก็เถอะ แผนการสวดมนต์บทรัตนสูตรหลังจากทำวัตรเย็นทุกวัน ตั้งแต่ ๒๕
มีนาคมเป็นต้นไป โดยนัยหนึ่ง “เพื่อปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีให้พ้นจากประเทศ”
นั้นน่าจะเป็นเรื่องสิ้นคิดในความตกต่ำของภาวะผู้นำ ในการต่อสู้กับไวรัสตัวนี้เสียมากกว่า
นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีสำนักนายกฯ
แถลงว่านายกฯ เห็นดีด้วยแต่ “ขอให้ประชาชนร่วมฟังบทสวดไปพร้อมกันอยู่ที่บ้านพักของแต่ละคนจะดีกว่า
ซึ่งจะมีการถ่ายทอดสดผ่านทางช่อง 11 NBT ช่อง 9
MCOT” อีกทั้งโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ
อีกทั้งยังแนะนำให้คอยระวัง “หากประชาชนมารวมตัวกันมาก
ตนจึงได้แจ้งไปว่าจะขอความร่วมมือให้ประชาชนรับฟังการสวดมนต์อยู่ที่บ้าน
หรือหากจะมาร่วมสวดมนต์ก็ให้อยู่บริเวณลานวัดภายนอก พร้อมมีมาตรการในการป้องกัน”
นี่แสดงว่ารัฐบาลเองก็ตระหนักถึงความเสี่ยงทางสาธารณสุขอยู่เหมือนกัน
ต่อการจัดให้มีการรวมตัวของผู้คนจำนวนมาก
ซึ่งรัฐบาลไม่แนะนำให้เอกชนจัดกันอยู่แล้ว แต่สำนักงานพุทธศาสนามาทำเสียเอง
(นัยว่าแนวคิดเบื้องต้นมาจากสมเด็จพระสังฆราช ที่รัฐบาลไม่อยากขัดพระประสงค์)
หากนายเทวัญพูดสักนิดว่าการสวดมนต์นี้จะทำโดยพระสงฆ์
๙ รูป (ต่ำกว่ามาตรฐานสากลป้องกันแพร่เชื้อ ห้ามรวมตัว ๑๐ คนขึ้นไป)
แล้วถ่ายทอดโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเท่านั้น
ไม่มีการระบุว่าให้วัดทั่วประเทศและในต่างประเทศเล่นด้วย ค่อยว่าไป
เสียดายทั่นรัฐมนตรีไม่ได้นิมนต์พระมหาไพรวัลย์ไปให้คำปรึกษาเสียก่อน
จะได้ออกโครงการมาได้สวยกว่านี้ ไม่อ้าง ‘โบราณกาล’ อย่างผิดๆ ถึงไม่นิมนต์มหาไพรวัลย์ก็เผยแพร่ความเห็นแล้วละ
โดยท้าวความย้อนอดีตไปเมื่อ ๒๐๐ ปีก่อน
“เริ่มต้นแต่รัชกาลที่ ๒ มา ในปีพุทธศักราช
๒๓๖๓ เกิดโรคห่าระบาด คนในพระนครล้มตายมากกว่า ๓๐,๐๐๐ ชีวิต...มีการให้ตั้งพระราชพิธี
‘อาพาธพินาศ’
มีการให้นิมนต์พระสงฆ์จำนวน ๕๐๐ รูป
เพื่อสวดพระปริตรและประพรมน้ำพระพุทธมนต์กำจัดโรคระบาด”
แต่กระนั้นในบันทึกพระราชพิธีสิบสองเดือนยังระบุถึงการตระหนักรู้
ว่า “การพระราชพิธีนั้นเปนการคาดคเนทำขึ้น มิใช่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสั่งสอนไว้...เพราะโรคนี้ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยผี
เกิดขึ้นด้วยดินฟ้าอากาศ แลความประพฤติที่อยู่กินของมนุษย์ ซึ่งเปนสิ่งที่ไม่มีวิญญาจะขับไล่ได้”
มิหนำซ้ำอาการของโรคห่ากำเริบให้เห็นระหว่างพระราชพิธีนั้น
ดังบันทึกของรัชกาลที่ ๕ “เปนต้นว่าคนที่เข้ากระบวนแห่แลหามพระพุทธรูป
และพระสงฆ์เดินไปกลางทางก็ล้มลงขาดใจตาย...แลตั้งแต่ตั้งพิธีแล้วโรคนั้นก็ยิ่งกำเริบร้ายแรงหนักขึ้น”
อันสถานการณ์โคโรน่าไวรัส หรือ ‘COVID
19’ นี่คาดกันว่าอย่างดีที่สุดจะคลี่คลายได้ก็โน่นละ
สิ้นเดือนกันยายน “กิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม รวมไปถึงการท่องเที่ยว
กว่าจะเริ่มเร็วสุดคือไตรมาส ๔ (ตุลาคม ๒๕๖๓)”
ตามที่โพสต์ของ Thanapol Eawsakul ชี้ “หมายความว่าในไตรมาส ๒-๓ (เมษายน-กันยายน ๒๕๖๓) กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะหยุดชะงักลงไป”
มาตรการลดราคาค่าน้ำค่าไฟลงไป ๓% ช่วยให้ขวัญกำลังใจของผู้จ่ายภาษีและค่าธรรมเนียมบริการสาธารณะ
กระชุ่มขึ้นมาหน่อยเท่านั้น
อีก ๖
เดือนข้างหน้าภาวะเศรษฐกิจและการทำมาหากินยังจะแบ่บเหมือนจับไข้ต่อไป
การสวดมนต์จึงเป็นการเอา ‘ไสย’ เข้ามาขย่มเพื่อเป็นไม้กันผีสำหรับรัฐบาลเท่านั้นเอง เชื่อสิ
ชาวบ้านทั่วไปที่ไม่มีจะกิน จะให้เอาน้ำมนต์ลูบท้อง คงไม่พอ
ข้อสำคัญคนในรัฐบาลทั้งหลาย ‘ตระหนักรู้’ ปัญหากันหรือเปล่า หรือยัง คนอย่าง
ส.ส.สิระ เจนจาคะ ที่เอาแต่ป่วน ‘กวนบาจา’ ในกรรมาธิการปราบคอรัปชั่น เพียงเพื่อเล่นบทตีรวนประธานฯ เสรีพิศุทธ์
เตมียาเวส ให้เลิกประชุมนั้น มีส่วนสำคัญทำให้รัฐบาลชุดนี้หมอง
แล้วยังปัญหาภายในการบินไทย
ที่เข้าสู่อาการ ‘เจ๊ง’ แน่ “ปีนี้ขาดทุนแสนล้าน
หยุดบิน ๕๐% ตัดเงินเดือนผู้บริหาร
สั่งพนักงานอยู่บ้านแบบไม่รับเงินเดือน CEO ยื่นใบลาออกพร้อมแฉความเน่าเฟะ
ผู้บริหารเละเทะแต่กินเงินเดือน ๗ แสนบาท”
ข้อมูลจากการแฉของ ‘ใต้พรม คมนาคม’ ว่า
‘สุเมธ ดำรงชัยธรรม’ ลาออกจากตำแหน่ง ‘ดีดี’ การบินไทย เพราะ “แรงกดดันจากคนบ้านใหญ่บุรีรัมย์...จำเป็นต้องไปเมื่อคนมีอำนาจบอกว่าคุณหมดเวลาแล้ว”
หลังจากที่ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ ไม่รับข้อเสนอแผนฟื้นฟูของดีดี
เหตุมาจาก “ศึกแย่งเค้กก้อนใหญ่คืองบซื้อเครื่องบินใหม่
๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาท คงหอมหวนยั่วยวนใจนักการเมืองหลายคน
แม้จะมีชื่อรัฐมนตรี ‘ถาวร เสนเนียม’ รับหน้าที่ดูแลการบินไทย
แต่ก็เป็นได้แค่ศาลพระภูมิ”
ลึกกว่านั้น “มีความไม่ชอบมาพากลในการกำหนดสเปคตัวเครื่องยนต์ใหม่
ซึ่งมีอยู่หลายค่ายผู้ผลิต หวังเงินค่า commission และเงินใต้โต๊ะหลักหมื่นล้านบาท” โดยที่ “ชัดเจนว่าผู้บริหารและเจ้ากระทรวงคมนาคม
ถือหางค่ายเครื่องยนต์ที่แตกต่างกัน”
อันนี้แหละที่ทำให้ผู้กำกับเส้นทางสืบทอดอำนาจต้องหม่นหมอง
ไหนจะมีรัฐมนตรีบางคนจากพรรคพลังประชารัฐ ‘นามธรรม’ เหม็นฉึ่งก็ยังไม่กล้าเข้าไปแตะต้อง แล้วนี่พรรคที่เป็นไม้กันผีค้ำคูนรัฐบาลมา
ชักจะออกแนว ‘ศิลปินเดี่ยว’ บ้างแล้ว
เสียงสวดมนต์อาจจะทำให้นายกฯ
อิ่มเอิบในรสพระธรรมและเสียงบริกรรมในช่วง ๖
เดือนที่เศรษฐกิจยังติดก้นบึ้งข้างหน้านี้ ภาวนาอย่าติดเชื้อกับเขาบ้างก็แล้วกัน
เห็นว่ารัฐมนตรีคลังก็ยังติดจากผู้ช่วยด้วยเหมือนกัน