วันพฤหัสบดี, มีนาคม 19, 2563

อย่างดีที่สุด อีก ๖ เดือน สถานการณ์ 'โควิด-๑๙' จึงจะคลี่คลาย ระหว่างนี้สวดมนต์กันไป อาจได้ภิกขุบวชใหม่


ถึงจะบอกว่า “เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ” ก็เถอะ แผนการสวดมนต์บทรัตนสูตรหลังจากทำวัตรเย็นทุกวัน ตั้งแต่ ๒๕ มีนาคมเป็นต้นไป โดยนัยหนึ่ง “เพื่อปัดเป่าสิ่งที่ไม่ดีให้พ้นจากประเทศ” นั้นน่าจะเป็นเรื่องสิ้นคิดในความตกต่ำของภาวะผู้นำ ในการต่อสู้กับไวรัสตัวนี้เสียมากกว่า

นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีสำนักนายกฯ แถลงว่านายกฯ เห็นดีด้วยแต่ “ขอให้ประชาชนร่วมฟังบทสวดไปพร้อมกันอยู่ที่บ้านพักของแต่ละคนจะดีกว่า ซึ่งจะมีการถ่ายทอดสดผ่านทางช่อง 11 NBT ช่อง 9 MCOT” อีกทั้งโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ

อีกทั้งยังแนะนำให้คอยระวัง “หากประชาชนมารวมตัวกันมาก ตนจึงได้แจ้งไปว่าจะขอความร่วมมือให้ประชาชนรับฟังการสวดมนต์อยู่ที่บ้าน หรือหากจะมาร่วมสวดมนต์ก็ให้อยู่บริเวณลานวัดภายนอก พร้อมมีมาตรการในการป้องกัน”

นี่แสดงว่ารัฐบาลเองก็ตระหนักถึงความเสี่ยงทางสาธารณสุขอยู่เหมือนกัน ต่อการจัดให้มีการรวมตัวของผู้คนจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลไม่แนะนำให้เอกชนจัดกันอยู่แล้ว แต่สำนักงานพุทธศาสนามาทำเสียเอง (นัยว่าแนวคิดเบื้องต้นมาจากสมเด็จพระสังฆราช ที่รัฐบาลไม่อยากขัดพระประสงค์)

หากนายเทวัญพูดสักนิดว่าการสวดมนต์นี้จะทำโดยพระสงฆ์ ๙ รูป (ต่ำกว่ามาตรฐานสากลป้องกันแพร่เชื้อ ห้ามรวมตัว ๑๐ คนขึ้นไป) แล้วถ่ายทอดโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจเท่านั้น ไม่มีการระบุว่าให้วัดทั่วประเทศและในต่างประเทศเล่นด้วย ค่อยว่าไป
 
เสียดายทั่นรัฐมนตรีไม่ได้นิมนต์พระมหาไพรวัลย์ไปให้คำปรึกษาเสียก่อน จะได้ออกโครงการมาได้สวยกว่านี้ ไม่อ้าง โบราณกาล อย่างผิดๆ ถึงไม่นิมนต์มหาไพรวัลย์ก็เผยแพร่ความเห็นแล้วละ โดยท้าวความย้อนอดีตไปเมื่อ ๒๐๐ ปีก่อน

“เริ่มต้นแต่รัชกาลที่ ๒ มา ในปีพุทธศักราช ๒๓๖๓ เกิดโรคห่าระบาด คนในพระนครล้มตายมากกว่า ๓๐,๐๐๐ ชีวิต...มีการให้ตั้งพระราชพิธี อาพาธพินาศ มีการให้นิมนต์พระสงฆ์จำนวน ๕๐๐ รูป เพื่อสวดพระปริตรและประพรมน้ำพระพุทธมนต์กำจัดโรคระบาด”

แต่กระนั้นในบันทึกพระราชพิธีสิบสองเดือนยังระบุถึงการตระหนักรู้ ว่า “การพระราชพิธีนั้นเปนการคาดคเนทำขึ้น มิใช่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสั่งสอนไว้...เพราะโรคนี้ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยผี เกิดขึ้นด้วยดินฟ้าอากาศ แลความประพฤติที่อยู่กินของมนุษย์ ซึ่งเปนสิ่งที่ไม่มีวิญญาจะขับไล่ได้”

มิหนำซ้ำอาการของโรคห่ากำเริบให้เห็นระหว่างพระราชพิธีนั้น ดังบันทึกของรัชกาลที่ ๕ “เปนต้นว่าคนที่เข้ากระบวนแห่แลหามพระพุทธรูป และพระสงฆ์เดินไปกลางทางก็ล้มลงขาดใจตาย...แลตั้งแต่ตั้งพิธีแล้วโรคนั้นก็ยิ่งกำเริบร้ายแรงหนักขึ้น”


อันสถานการณ์โคโรน่าไวรัส หรือ ‘COVID 19’ นี่คาดกันว่าอย่างดีที่สุดจะคลี่คลายได้ก็โน่นละ สิ้นเดือนกันยายน “กิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม รวมไปถึงการท่องเที่ยว กว่าจะเริ่มเร็วสุดคือไตรมาส ๔ (ตุลาคม ๒๕๖๓)

ตามที่โพสต์ของ Thanapol Eawsakul ชี้ “หมายความว่าในไตรมาส ๒- (เมษายน-กันยายน ๒๕๖๓) กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะหยุดชะงักลงไป” มาตรการลดราคาค่าน้ำค่าไฟลงไป ๓% ช่วยให้ขวัญกำลังใจของผู้จ่ายภาษีและค่าธรรมเนียมบริการสาธารณะ กระชุ่มขึ้นมาหน่อยเท่านั้น

อีก ๖ เดือนข้างหน้าภาวะเศรษฐกิจและการทำมาหากินยังจะแบ่บเหมือนจับไข้ต่อไป การสวดมนต์จึงเป็นการเอา ไสย เข้ามาขย่มเพื่อเป็นไม้กันผีสำหรับรัฐบาลเท่านั้นเอง เชื่อสิ ชาวบ้านทั่วไปที่ไม่มีจะกิน จะให้เอาน้ำมนต์ลูบท้อง คงไม่พอ

ข้อสำคัญคนในรัฐบาลทั้งหลาย ตระหนักรู้ ปัญหากันหรือเปล่า หรือยัง คนอย่าง ส.ส.สิระ เจนจาคะ ที่เอาแต่ป่วน กวนบาจา ในกรรมาธิการปราบคอรัปชั่น เพียงเพื่อเล่นบทตีรวนประธานฯ เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ให้เลิกประชุมนั้น มีส่วนสำคัญทำให้รัฐบาลชุดนี้หมอง
 
แล้วยังปัญหาภายในการบินไทย ที่เข้าสู่อาการ เจ๊งแน่ “ปีนี้ขาดทุนแสนล้าน หยุดบิน ๕๐% ตัดเงินเดือนผู้บริหาร สั่งพนักงานอยู่บ้านแบบไม่รับเงินเดือน CEO ยื่นใบลาออกพร้อมแฉความเน่าเฟะ ผู้บริหารเละเทะแต่กินเงินเดือน ๗ แสนบาท”

ข้อมูลจากการแฉของ ใต้พรม คมนาคมว่า ‘สุเมธ ดำรงชัยธรรม’ ลาออกจากตำแหน่ง ดีดี การบินไทย เพราะ “แรงกดดันจากคนบ้านใหญ่บุรีรัมย์...จำเป็นต้องไปเมื่อคนมีอำนาจบอกว่าคุณหมดเวลาแล้ว” หลังจากที่ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ ไม่รับข้อเสนอแผนฟื้นฟูของดีดี

เหตุมาจาก “ศึกแย่งเค้กก้อนใหญ่คืองบซื้อเครื่องบินใหม่ ๑๕๐,๐๐๐ ล้านบาท คงหอมหวนยั่วยวนใจนักการเมืองหลายคน แม้จะมีชื่อรัฐมนตรี ‘ถาวร เสนเนียม’ รับหน้าที่ดูแลการบินไทย แต่ก็เป็นได้แค่ศาลพระภูมิ”

ลึกกว่านั้น “มีความไม่ชอบมาพากลในการกำหนดสเปคตัวเครื่องยนต์ใหม่ ซึ่งมีอยู่หลายค่ายผู้ผลิต หวังเงินค่า commission และเงินใต้โต๊ะหลักหมื่นล้านบาท” โดยที่ “ชัดเจนว่าผู้บริหารและเจ้ากระทรวงคมนาคม ถือหางค่ายเครื่องยนต์ที่แตกต่างกัน”


อันนี้แหละที่ทำให้ผู้กำกับเส้นทางสืบทอดอำนาจต้องหม่นหมอง ไหนจะมีรัฐมนตรีบางคนจากพรรคพลังประชารัฐ นามธรรม เหม็นฉึ่งก็ยังไม่กล้าเข้าไปแตะต้อง แล้วนี่พรรคที่เป็นไม้กันผีค้ำคูนรัฐบาลมา ชักจะออกแนว ศิลปินเดี่ยว บ้างแล้ว

เสียงสวดมนต์อาจจะทำให้นายกฯ อิ่มเอิบในรสพระธรรมและเสียงบริกรรมในช่วง ๖ เดือนที่เศรษฐกิจยังติดก้นบึ้งข้างหน้านี้ ภาวนาอย่าติดเชื้อกับเขาบ้างก็แล้วกัน เห็นว่ารัฐมนตรีคลังก็ยังติดจากผู้ช่วยด้วยเหมือนกัน