วันเสาร์, มีนาคม 28, 2563

วันแรกหลังประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีมาตรการหลากหลายแตกต่างกันไปทั่วประเทศ หยุดการ "ขี่ช้างจับตั๊กแตน" เอาชนะโรคโควิดด้วย 3 ขั้นตอน




เอาชนะโควิดด้วย Face Shielding :
จากสูงสุดคืนสู่สามัญ
..................................................
.
.
1) วันแรกหลังประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีมาตรการหลากหลายแตกต่างกันไปทั่วประเทศ บางแห่งประกาศเคอร์ฟิว บางแห่งตั้งด่านตรวจบนเส้นทางระหว่างจังหวัด ทั้งๆที่มาตรการเหล่านั้นไม่มีผลต่อการควบคุมโรคโควิดได้จริง
.
เป็นการ "ขี่ช้างจับตั๊กแตน" หรือถ้าเป็นภาษายุคใหม่ก็เป็นการ "เล่นใหญ่ไฟกระพริบ"
.
2) ลองตั้งสติก่อนดีไหมครับ ก่อนที่จะสร้างผลกระทบต่อวิถีชีวิตประชาชน และเศรษฐกิจมากกว่านี้
.
3) การรับมือกับโรคโควิด เราแบ่งได้ 3 ขั้นตอนคือ
.
ก. การป้องกันโรค ได้แก่ Social Distancing, ใส่หน้ากาก, ล้างมือ, กินร้อน ช้อนประจำตัว และวัคซีน (ถ้ามี)
.
ข. การควบคุมโรค ได้แก่ ตรวจกรองหาผู้ป่วย, การกักกันตัวผู้เสี่ยงติดโรค 14 วัน
.
ค. การรักษา ได้แก่ การรักษาประคับประคอง, การให้ยาต้านไวรัส หรือ Hydroxychloroquine+Azithromycin และการรักษาผู้ป่วยหนักใน ICU
.

4) ในทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ ขั้นตอนการป้องกันโรค หากทำได้จริงจัง จะได้ผลดีมาก ลดอัตราป่วยได้รวดเร็ว และใช้ทรัพยากรน้อย
.
5) ทราบหรือไม่ว่า เมื่อ 39 ปีที่แล้ว มนุษย์เผชิญกับโรคติดต่อจากไวรัสชนิดหนึ่งที่แพร่ระบาดจากสัตว์สู่คน ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึงวันนี้ประมาณ 32 ล้านคน ผู้รับเชื้อไวรัสนี้สามารถแพร่เชื้อต่อให้คนอื่นได้ในระหว่างที่ไม่มีอาการ ช่วงแรกของการระบาด สร้างความแตกตื่นและความหวาดกลัวต่อผู้ติดเชื้ออย่างมาก ไม่ต่างจากโรคโควิดในวันนี้
.
แต่ผ่านมา 39 ปี เราอยู่กับโรคนี้อย่างมั่นใจว่า เราสามารถป้องกันได้ แม้ไม่มีวัคซีนก็ตาม
.
6) โรคที่รุนแรงและมีลักษณะคล้ายโควิดเช่นนี้ คือโรคอะไร และอะไรทำให้เราไม่กลัวโรคนี้อีกต่อไป ผมจะเล่าให้ฟัง
.
7) โรคดังกล่าวคือ โรค HIV/AIDS ที่เริ่มต้นมาจากลิงสู่คน แล้วแพร่ระบาดทางเพศสัมพันธ์และเข็มฉีดยา ไม่มีทางทราบได้ว่า ผู้แพร่เชื้อเป็นโรคนี้จากสภาพร่างกายภายนอกในระยะแรก
.
ช่วงเริ่มต้น ไม่มียารักษา ผู้เป็นโรคนี้เสียชีวิตทั้งหมด ปัจจุบันมียาต้านไวรัสแล้ว แต่เรายังไม่สามารถคิดค้นวัคซีนสำเร็จ
.
8)มนุษย์อยู่ร่วมกับเอดส์ มาได้ตลอด 39 ปี อย่างสันติด้วยอุปกรณ์ชิ้นเล็กๆที่เรียกว่า "ถุงยางอนามัย" ซึ่งคิดค้นมาใช้เพื่อคุมกำเนิด แต่ได้กลายเป็นอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพในการต่อกรกับไวรัสเอดส์
.
นายแพทย์วิวัฒน์ โรจนพิทยากร ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคเอดส์คนแรก เป็นคนนำเสนอนโยบายการใช้ถุงยางอนามัย 100%ในทุกพื้นที่ ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกของโลกที่แก้ปัญหานี้ได้สำเร็จ ต่อมากลายเป็นยุทธศาสตร์สำคัญซึ่งเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของมนุษย์กับเอดส์ไปตลอดกาล เพราะทำให้มนุษย์มีเวลาพัฒนายาต้านไวรัสเอดส์ที่ได้ผล ผู้ติดเชื้อมีชีวิตยืนยาวขึ้น
.
9) แล้วเราได้ข้อคิดจากเรื่องถุงยางอนามัยอย่างไร
.
จากถุงยางอนามัยที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อคุมกำเนิด แต่กลับมีคุณอนันต์ในการป้องกันโรคเอดส์
.
10) จากการประมวลความรู้ในวันนี้ โรคโควิดติดต่อเข้าร่างกายผ่านทาง ตา จมูก และปาก โดยมีมือเป็นส่วนสำคัญในการป้อนไวรัสเข้าสู่ทั้งสามช่องทาง
.
ดังนั้น ถ้าเราไม่ยอมให้ไวรัสเข้าไปทาง ตา จมูก และปาก เหมือนกับ เราไม่ยอมให้ไวรัสเอดส์เข้าไปในเลือด ผ่านทางแผลถลอกเล็กน้อยระหว่างมีเพศสัมพันธ์ได้ เราก็ควรป้องกันโรคโควิดได้...มิใช่หรือ
.
ในเมื่อ.....
เราใช้ถุงยางอนามัยป้องกันไวรัสเอดส์
เราสวมรองเท้าเพื่อป้องกันพยาธิปากขอ
เรานอนในมุ้งเพื่อป้องกันไข้เลือดออก
เราไม่กินปลาดิบเพื่อป้องกันโรคพยาธิใบไม้ในตับ
เราต้มน้ำก่อนดื่มเสมอเพื่อป้องกันอหิวาตกโรค
.
การป้องกันโรคติดต่อโดยสร้างเกราะป้องกัน ง่ายๆอย่างนี้นี่เอง
.
แล้วทำไมเราป้องกันโรคโควิดไม่ได้ดีนัก ทั้งๆที่เรารู้ช่องทางขาเข้าของไวรัส
.
ทำไมเล่า...หน้ากากอนามัย หรือการล้างมือ เราจึงไม่สามารถบอกได้เต็มปากเต็มคำว่า "ใช้ป้องกันโรคโควิดได้" จนเราต้องใช้วิธีการ Social Distancing และ Lockdown เป็นมาตรการสำคัญ
.
11) ทั้งนี้เป็นเพราะหน้ากากอนามัยใส่แล้วอึดอัด ต้องคอยขยับตลอดเวลา จนนักวิชาการต่างประเทศบางคนบอกว่า ยิ่งใส่หน้ากากอนามัยยิ่งเพิ่มความเสี่ยง
.
อีกทั้งหน้ากากอนามัยไม่ได้ป้องกันดวงตา สารคัดหลั่งจึงกระจายเข้าไปในดวงตาได้ บางครั้งเราก็เผลอขยี้ตาทั้งๆที่ไม่ได้ล้างมือ
.
12) เรามีถุงยางอนามัยสำหรับโรคเอดส์ แล้วโรคโควิดล่ะ เราจะมีอาวุธอะไร
.
ผมขอเสนอให้ใช้ Face Shield ซึ่งใช้กันอยู่แล้วในวงการอุตสาหกรรมว่า เหมาะที่สุดในการป้องกันโรคโควิด เพราะ
.
- ป้องกันได้ทั้ง ตา จมูก และปาก

- ไม่อึดอัดเหมือนใส่หน้ากาก หายใจได้สบายกว่า

- เป็นเสมือนเกราะป้องกันไม่ให้เราเผลอใช้มือที่มีไวรัสมาสัมผัส ตา จมูก และปาก ผมเคยเห็นรายงานที่ระบุว่า ในวันหนึ่งๆ เราใช้มือสัมผัสใบหน้ากว่า 90 ครั้งโดยไม่รู้ตัว

- แผ่นพลาสติกด้านหน้าใช้กันสารคัดหลั่งได้ ดี เพราะสารคัดหลั่งที่ออกมาจากผู้ติดเชื้อ พุ่งเป็นแนวโค้งในรูปละอองฝอยไม่เกิน 2 เมตร แรงโน้ม่ถ่วงย่อมทำให้ละอองฝอยเหล่านั้นตกพื้น ไม่ย้อนขึ้นผ่านใต้คาง และไม่ย้อนหันหลังกลับมาที่ใบหน้าเมื่อพุ่งผ่านใบหูไปแล้ว

- ไม่จำเป็นต้องโค้งแนบชิดกับใบหน้า เพราะเราไม่ได้ป้องกันฝุ่น เช่น PM 2.5 ซึ่งมีขนาดเล็กมากๆและน้ำหนักเบา แต่ใช้ป้องกันสารคัดหลั่งซึ่งมีขนาดใหญ่และน้ำหนักมากกว่า (ยกเว้นบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งทำงานในห้องผู้ป่วยที่เป็นระบบปิด เสี่ยงที่จะพบการกระจายของไวรัสมากกว่า)

- อายุการใช้งานนาน สามารถทำความสะอาดและฆ่าเชื้อไวรัสด้วยการเช็ดแอลกอฮอล์ หรือล้างด้วยน้ำสบู่
.
13) เราสามารถทำ Face Shield เองได้อย่างง่ายดาย ด้วยต้นทุนวัสดุเพียง 7 บาท และเปิดดูขั้นตอนการทำได้ใน Youtube ซึ่งมีคลิปสอนวิธีทำเกิดขึ้นจำนวนมากในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา
.
14) เราสามารถทำ Face Shield ให้สวยงามเป็นแฟชั่นก็ได้ เพราะมี Makers เก่งๆไม่น้อยที่ช่วยสร้างสรรค์ออกมาด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติ
.
13) ในกรณีของโรคเอดส์ จะป้องกันโรคได้ต้องใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้ง 100% แต่ในกรณีของโรคโควิด ซึ่งมีอัตราเฉลี่ยในการกระจายของเชื้อ (R0) เท่ากับ 1.4-3.9 ถ้ามีผู้ใส่ Face Shield เพียง 29-74% ของประชากร ก็สามารถควบคุมโรคได้แล้ว
.
แต่ถ้าประชาชนทุกคนใส่ Face Shield ยิ่งป้องกันการแพร่กระจายของโรคโควิดได้ชะงัด
.
14) ฟังดูง่ายดายไปหน่อยไหม ทำไมไม่มีใครคิดมาก่อน
ลองทบทวนเรื่องถุงยางอนามัยกับโรคเอดส์อีกครั้ง
ทำไมง่ายดายอย่างนั้น ทำไมไม่มีใครคิดมาก่อนคุณหมอวิวัฒน์
.
15) ช่วยกันรณรงค์ใส่ Face Shield กันให้มากๆจนถึง 100% ยิ่งดี
เราจะได้ไม่ต้องทำ Social Distancing กันไม่รู้จบ
แต่หันมาทำ Face Shielding ซึ่งทำได้ง่ายกว่าแทน
.
16) แล้วการขี่ช้างจับตั๊กแตน จะสิ้นสุดโดยเร็ว