แฮ้สแท็ก #รัฐบาลส้นตีน กำลังจะแตะล้าน หนึ่งในนั้นเป็นลูกสาว
ผอ.สุวรรณภูมิ ที่ยื่นใบลาออก ผลบังคับ ๑๖ เมษา ‘สาเหตุที่แท้จริง’
เพราะ “รู้สึกท้อแท้กับการรับมือการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-๑๙ ที่ไม่ได้รับความร่วมมือ”
จากหน่วยงานเกี่ยวข้อง
“ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิยังมีอุปกรณ์ป้องกันไม่เพียงพอและจัดส่งล่าช้า
โดยเฉพาะหน้ากากอนามัย โดย ทอท. ถูกหน่วยงานราชการด้วยกันเองขอโควต้าตัดหน้าเอาไปใช้ก่อน...ทำให้การปฏิบัติงานคัดกรองภายในสนามบินเป็นไปด้วยความยากลำบาก”
เจ้าของบัญชีเฟชบุ๊คที่อ้างว่าเป็นลูกสาวของ
น.ท.สุธีวัฒน์ สุวรรณวัฒน์ ผู้อำนวยการสนามบินสุวรรณภูมิ ระบุว่า “เรื่องเด็ดเลย ‘กักตัวผีน้อย’ ดันบอกตัวเองไม่มีหน้าที่กักคนไทย
กฎหมายไม่ได้ระบุไว้เลยไม่ทำ อยากด่าแทนพ่อสั้นๆ ว่า อห. ที่ไม่ได้หมายความว่าโอ้โห”
เสร็จแล้วเป็นไง
รมว.สาธารณสุขไปโพสต์ข้อความ ‘ด่าฝรั่ง’
(อีกครั้ง) ว่าไปเชียงใหม่ไม่เห็นนักท่องเที่ยวจีน มีแต่ฝรั่ง
ที่ไม่ยอมใส่หน้ากากสักคนเดียว
“นี่คือสาเหตุที่ทำให้ประเทศเขาติดเชื้ออย่างมากมาย” โดยลงภาพประกอบ เยอรมนีมี
๑,๙๖๖ ราย อเมริกา ๑,๓๐๘ สวิสกับนอร์เวย์ สูสีที่ ๖๐๐ กว่า
ตามด้วยอีกโพสต์ว่าตอนนี้ยุโรปหน้าหนาว
“พวกนี้ยิ่งหนีเข้ามาหลบหนาว หลบโรคในเมืองไทย หลายคนแต่งตัวสกปรก ไม่อาบน้ำ
เราเจ้าบ้านต้องระวังตัว พวกเขายังไม่อยากคบกันเอง ปิดประเทศใส่กันแล้ว”
อ้างข่าวสหรัฐห้ามยุโรปเข้าประเทศ ๓๐ วัน
(https://www.facebook.com/FahroongS/posts/1528995947265480,
https://www.sanook.com/news/8052298/ และ https://mgronline.com/onlinesection/detail/9630000025280)
ไม่ทราบว่าเมื่อไร นายอนุทิน ชาญวีรกูล จะได้สำนึกเสียทีว่าการปิดประเทศ
ไม่ให้ผู้คนจากดินแดนที่มีโรคระบาดชนิดยังหายารักษาโดยตรงไม่ได้เข้านั้น
เป็นการดำเนินนโยบายที่ควรใส่ใจ ‘ก่อน’ การแนะนำให้ประชาชนหรือใครๆ สวมใส่หน้ากากป้องกันเชื้อ
แต่ปรากฏว่าแม้จนขณะนี้ มาตรการ “ยกเลิกชั่วคราวการตรวจลงตรา
ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง หรือ Visa on Arrival ใน ๑๘ ประเทศ กับ ๑ เขตเศรษฐกิจ และการยกเว้นการตรวจลงตราหรือ Visa
Free ของประเทศมีความเสี่ยงสูง ได้แก่ เกาหลีใต้ ฮ่องกง และ อิตาลี
นั้น”
ยังไม่มีผลบังคับใช้ ต้องรอขั้นตอน “เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
ในวันที่ ๑๗ มีนาคมนี้เสียก่อน” อธิบดีกรมการกงสุลแถลงที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อวานซืน
ทำให้หนุ่มนักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตยอย่าง ธนวัฒน์ วงค์ไชย ทวี้ตว่า
“เล่นอะไรกันอีกแล้วครับ
คุยกันให้รู้เรื่องก่อนไหม ประชาชนสับสนหมดแล้ว #รัฐบาลส้นตีน” ถึงกระนั้นหัวหน้ารัฐบาลก็ยัง ‘เล่น’ ต่อไปไม่หยุด วานนี้ประยุทธ์ไปตรวจความพร้อมการตั้งรับ
‘โควิด ๑๙’ ที่โรงพยาบาลราชวิถี ก็ไป “โยกเบาะๆ”
เต้นแอโรบิคกับพวกหมอๆ สนุกสนาน
วันเดียวกัน BIOTHAI
หรือมูลนิธิชีววิถี
ออกคำเตือนว่าช่วง ๓ เดือนข้างหน้าจะเกิด “วิกฤตเกี่ยวกับความมั่นคงทางอาหาร” ๖
เรื่องด้วยกัน โดยอันดับแรกเป็นการระบาดของโคโรน่าไวรัส
ที่องค์การอนามัยโลกประกาศแล้วว่าเป็น ‘Pandemic’
อันจะทำให้เกิดความวุ่นวายผู้คนแย่งกันกักตุนอาหารแบบเมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่ปี
๒๕๕๔ อีกก็ได้ เรื่องอื่นๆ เช่นเข้าร่วมอนุสัญญา UPOV1991
ที่ส่งผลกระทบต่อการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ทางการเกษตร
หรือภัยแล้งครั้งใหม่ที่จะทำให้ผลผลิตข้าวและอ้อยลดลง ๓๐%
ถึง ๔๘%
ไหนจะปัญหาฝุ่นพิษที่คอยกลับมาอีกเป็นระยะๆ
ที่จะซ้ำเติมปัญหาไวรัสโคโรน่าระบาด ไม่นับเรื่องการแบนสารพิษบางอย่าง
แต่ยังยอมให้ใช้สารพิษอีกอย่าง ทั้งประเด็นความชอบด้วยกฎหมาย
ไหนจะกรณีซีพีฮวบเทสโก้ถูกร้องว่าเป็นการผูกขาดตลาด
กรณีหลังนี่ ศิริกัญญา ตันสกุล แห่งพรรค #ก้าวไกล ให้ความเห็นว่าการควบรวมของซีพีเหนือเทสโก้ จะเป็นการรวบ ‘อำนาจเหนือตลาด’ หรือไม่
และ “คณะกรรมการแข่งขันทางการค้า
จะมีมาตรการในการป้องกัน พฤติกรรมที่อาจจำกัดการแข่งขัน ซึ่ง พ.ร.บ.
แข่งขันทางการค้าให้อำนาจเอาไว้หรือไม่”
ประการสำคัญมีคนตั้งข้อสังเกตุไว้บนโซเชียลมีเดียอย่างน่าคิดมากว่า
การระบาดของไวรัสโคโรน่าในไทย จะเกิดจากการแพร่หลายผ่านทาง ‘เซเว่น’ ซึ่งเป็นของซีพีได้ง่ายๆ นะ เพราะซีพีเปิด
๒๔ ชั่วโมง แทบทุกมุมเมือง แล้วไม่ได้ปิดทำความสะอาดก่อนเปิดเหมือนห้างทั่วไป
“วิกฤตเหล่านี้จะนำไปสู่การตั้งคำถามต่อความชอบธรรมในการบริหารประเทศของรัฐบาล
ซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจที่ถดถอยให้ทรุดโทรมลงไปยิ่งขึ้น...และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่”
ไบโอไทยยกปัญหาขึ้นมาตั้งข้อกังขาในทางวิชาการ