ฉิบหา_
กลายเป็นอีกหนึ่งในรายการ ‘อุ้มนายทุน’ กันต่อ ดังที่ บอล ธนวัฒน์ วงศ์ไชย โพสต์ไว้ “อุ้มแบ๊งค์ อุ้มตลาดทุน
อุ้มบริษัทในตลาดหุ้น อุ้มนายทุน ส่วนประชาชน ท่านบอกให้รอไปก่อน” นายทุนรายนี้คือพวกเจ้าของและหุ้นส่วนกิจการน้ำมันเชื้อเพลิง
ผลการประชุม กบน.
หรือกรรมการกองทุนน้ำมันที่สนธิรัตน์นั่งประธานว่า
ให้ปรับลดอัตราจัดเก็บเงินเข้ากองทุนเชื้อเพลิงลง ๕๐ สตางค์ต่อลิตร ยกเว้นดีเซลบี
๒๐ ลดแค่ ๒๕ สตางค์ต่อลิตร แต่ไปเก็บเพิ่มเอาที่แก๊สโซฮอลอี ๘๕ มากขึ้น ๒๕
สตางค์ต่อลิตร
ในส่วนของก๊าซแอลพีจีก็ให้ลดอัตราเก็บเข้ากองทุนฯ เช่นกันเป็นการชั่วคราว
๓ เดือน จากเดิมเคยเก็บ ๔.๙๘ บาทต่อกิโลกรัม ก็ให้เก็บแค่ ๒.๑๗ บาท
น้อยกว่าครึ่งของอัตราเดิม อ้างว่านี่จะส่งผลให้ราคาขายปลีกก๊าซลดลง ๓ บาทต่อกิโล
ตั้งใจจะบอกว่าเงินที่เข้ากองทุนฯ ลดไปราว ๒,๓๐๐
ล้านบาทต่อเดือนเนี่ยเอามาช่วยประชาชนลดค่าครองชีพก็ไม่เชิงนะ นั่นเป็นวิธีคิดของเจ้าสัวที่ยอมให้กำไรหดเพื่อที่จะได้ขายของต่อไปตามปกติ
แต่นี่รัฐบาลยอมกำไรหด ผู้บริโภคจ่ายลดลง
แต่เจ้าสัวก็ยังทำกำไรได้ตามปกติ ซ้ำยังจะขายได้ปริมาณมากกว่าเดิมเพราะราคาลด
และส่วนลดกองทุนฯ เป็นผู้แบกภาระแทน จัดเป็นวิธีการ ‘ขุน’
พวกนายทุนรายใหญ่ในสถานการณ์วิกฤตของประเทศได้อย่างแยบยล
ก่อนหน้านี้นิดเดียวรับมนตรีอีกคนของประยุทธ์ ที่ผ่านมาในระยะสองสามเดือนนี่ไม่ค่อยมีบทบาทเท่าไรในการแก้วิกฤตไวรัส
มีแต่บทเหี้ยมเที่ยวเล่นงานคนที่โพสต์เตือนภัยต่างๆ ของโรคระบาด
ในขณะที่รัฐบาลมัวแต่นั่งหลับใน
พุทธิพงศ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเป็นคนปูดเองว่าพระเจ้าอยู่หัว “ทรงจัด
‘ซื้อและหา’ อุปกรณ์ทางการแพทย์ โดยเบื้องต้นเป็นเครื่องช่วยหายใจ
๑๐๐ เครื่อง” พสกนิกรก็ยินดีปรีดาสิ เพราะรู้ๆ
กันอยู่ว่าเยอรมนีที่ทรงประทับถาวรอยู่น่ะ มีเครื่อง respirators ชั้นเยี่ยมของโลกเหลือเฟือจำนวนมาก
ที่ไหนได้มีนาย Nutchanon P. (@NONpayakphan) ดันโทรไปสอบถามกับสำนักพระราชวังว่าจริงไหม
“ทางวังแจ้งว่าไม่ทราบเรื่องนี้เลย และในหลวงก็ยังไม่ได้โปรดเกล้าฯ
อะไรลงมาเกี่ยวกับเรื่องนี้” แม้นว่าถ้าเป็นจริงก็อาจไม่ใช่เรื่องพิเศษอย่างใด
Somsak Jeamteerasakul (เจ้าเก่า) ชี้ว่าเผลอๆ เป็น “แบบเดียวกับ
‘ถุงยังชีพ’ (ในรัชสมัยของพระบิดา)
นั่นแหละ เรียกว่าอัฐยายซื้อขนมยาย” เพราะที่ใช้ศัพท์แสงว่า ‘ทรงจัดซื้อ’ นั้น ที่ผ่านมาเป็นเงินส่วนกลางด้วยซ้ำ
เอามาติดป้าย ‘ในหลวง’ เข้าไป”
ก็โชคดีที่เรื่องนี้กลายเป็น ‘เฟคนิวส์’ คงต้องเชื่อเพราะป่านนี้
รมว.ดิจิทัล ยังไม่ยอมตอบคำถามของ Krisana Oneill
“ไม่ทราบว่าคุณบีจะรับผิดชอบต่อกรณีนี้ยังไงค่ะ ปล่อยเฟคนิวส์ #อย่าบอกว่าทำโทรศัพย์หายหรือลูกหยิบไปเล่นนะคะ”
หากทบทวนย้อนรอยกลับไป ทั้ง ‘บี’ และสื่อหลายสำนักอ้างข้อมูลได้มาจาก 'Thailand
Vision' ซึ่งเป็นเพจบนเฟชบุ๊คที่มีคนไปติงว่า “สังคมกำลังสงสัยนะครับ”
ผู้ใช้นาม Matt Franco แม้จะฟันธงว่า “เรื่องโทรถามสำนักระราชวัง
เฟคแน่นอน”
ก็ยังอุตส่าห์ซื่อสัตย์ต่อตนเอง ระบุว่า “ไปไล่ดูข่าวในพระราชสำนักย้อนหลัง
ก็ไม่มีข่าวใดกล่าวถึงข่าวนี้ ก็มั่นใจว่าเป็นข่าวปลอมจริง”
ทั้งที่อีกหลายคนในแวดวงรัฐบาลสืบทอดอำนาจ อ้างแหล่งข่าว ‘กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน’ ที่ทำงานหลายอย่างแทน
คสช.เดิม
อมรินทร์ ทีนิวส์ ช่อง ๘ อีจัน และ สว.สมชาย
แสวงการ อ้าง กอ.รมน.ทั้งนั้น มีแต่ ใกล้รุ่ง
สุริยา กับเพจสดุดี ‘สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา’ ที่อ้างจุลเจิม (Yugala) ซึ่งโพสต์ว่า “นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นพ้นหาที่สุดมิได้”
ข้อสำคัญขณะที่ตามล่าหาความจริงกับเฟคนิวส์กันอยู่นี้
สถานการณ์โควิด-๑๙ในไทยขยับขึ้นไปอีกขั้น “ขณะนี้ประเทศไทยกร๊าฟไปคล้ายกับประเทศเยอรมนี
หมายความว่าถ้าเราไม่ทำอะไร คาดการณ์สิ่งที่เกิดขึ้น
จะเหมือนกับประเทศที่คุมไม่อยู่ แต่ละวันจะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ๓๓%”
นั่นเป็นข้อมูลจาก “ศาสตราจารย์
ดร.นายเเพทย์ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ผ่านทางผ่านช่อง IPTV
Mahidol University” ที่ Karuna Buakamsri
นำมาต่อยอด “วันนี้โอกาสที่ไทยจะสามารถคุมได้แบบญี่ปุ่นยากแล้ว...
๓-๔ วันมานี้
เรามีผู้ป่วยยืนยันรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว “หากคนไทย ยังปฏิบัติแบบเดิม ยังออกจากบ้าน
ยังใช้ชีวิตพูดคุย เจอกัน ทำงานแบบที่ทำในเวลานี้” ภายในวันที่ ๑๕ เมษายน “คาดว่าคนไทยเป็นโควิด
๓๕๑,๙๔๘ ราย
นอนโรงพยาบาล ๕๒,๗๙๒ ราย นอนไอซียู ๑๗,๕๙๗ ราย และเสียชีวิต ๗,๐๓๙ คน” ทั้งตัวเลขและเส้นกร๊าฟต่างๆ
คล้องจองและไปในทิศทางเดียวกับรายงานที่ ‘ไฟแน้นเชียลไทม์’
เสนอไว้เรื่องแนวโน้มในสหรัฐ
สุดท้ายสิ่งที่แพทย์หลายคนกังวลเวลานี้ “โอกาสที่ไทยจะสามารถคุมได้แบบญี่ปุ่นยากแล้ว
(เพราะ) เราเริ่มต้นช้า” จึงเหลือทางเลือกอีกแค่สองทาง คือเกาหลีใต้โมเดล “หรือจะเป็น...แบบเยอรมนี
ซึ่งก็เป็นแบบเดียวกับอิตาลี”