ผมอึ้งกับคำพูดของพ่อค้าแม่ค้าที่เขาได้รับผลกระทบจากมาตรการของรัฐ บางคนได้หยุดทำมากิน บางคนทำได้เพียงขายของให้หิ้วกลับบ้านลูกค้าก็น้อยลง แต่ทุกคนได้แต่ยืนมอง 7-11 ขายของโดยที่ไม่มีมาตรการอะไรไปกระทบกับเขาเลย มีแต่ขายได้ ขายดียิ่งขึ้น— ถือแถน (@pran2844) March 28, 2020
อาจารย์พันศักดิ์ประธานที่ปรึกษานโยบายเศรษฐกิจของนายกทักษิณที่เคยถูก คสช. เอาผ้าคลุมหัวแล้วเอาตัวไปขังบ้านเดียวกับผมเคยบอกว่า ต้องขจัดความกลัวเพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเกิดเพราะความกลัวตายของมหาชนมีมากกว่าความอยากได้ใคร่มี (macro fear is greater than macro greed)
ผมรอให้หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลคิดมาตรการก็เกรงว่าเศรษฐกิจจะพินาศย่อยยับไปเสียก่อน เลยขออนุญาตเอาความคิดของอาจารย์มาเสนอเป็นวิทยาทานเพื่อให้รัฐบาลนำไปผ่อนคลายมาตรการ เริ่มจากร้านอาหารที่เป็นธุรกิจของคนจน ดังนี้
(1) ผู้ประกอบการและพนักงานของร้านอาหารที่จะขอเปิดบริการจะต้องได้รับการตรวจว่าไม่มีเชื้อโควิดและต้องใส่หน้ากากอนามัยและสวมถุงมือตลอดเวลา
(2) ลูกค้าที่จะเข้าไปกินอาหารในร้านจะต้องได้รับการวัดไข้และล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อก่อนเข้าร้าน ส่วนโต๊ะเก้าอี้จะต้องมีระยะห่างพอควร
(3) หากราชการมีบุคลากรไม่เพียงพอที่จะตรวจโควิดอาจออกใบอนุญาตให้เอกชนรับไปดำเนินการ (outsourcing) เหมือนการตรวจสอบสภาพรถยนต์ที่ปัจจุบันให้เอกชนทำ
(4) ออกใบอนุญาตชั่วคราวส่งเสริมให้ประชาชนผลิตแอลกอฮอล์ฆ่าเชื้อเพื่อใช้เองในชุมชนอันจะทำให้เกิดการระบายสินค้าเกษตรอีกทาง
(5) ผ่อนคลายมาตรการสำหรับธุรกิจที่ผู้คนไม่ต้องอยู่ใกล้ชิดกันเป็นจำนวนมากให้ดำเนินการต่อไปได้ด้วยมาตรการที่สร้างความเชื่อมั่นว่าทั้งสองฝ่ายปลอดภัยจากเชื้อไวรัสที่กล่าวข้างต้น เช่น ตลาดสด หรือสนามฟุตบอลที่ต้องเล่นกันกลางแจ้ง เป็นต้น
ในเมื่อรัฐบาลยอมให้ร้านสะดวกซื้อเปิดให้บริการได้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะห้ามร้านอาหารที่เป็นของคนจนเปิด ขอเพียงสร้างความเชื่อมั่นด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ว่าผู้คนที่จะเข้ามามีปฏิสัมพันธ์ในกิจกรรมนั้นๆ มีความปลอดภัยจากโควิด เพราะคำว่า Distancing เป้าหมายคือการเว้นระยะเพื่อป้องกันความเสี่ยง แต่หากทั้งสองฝ่ายปลอดภัยไม่มีเชื้อก็ไม่ต้องห้ามที่จะใกล้ชิดกัน เพราะหากยังคิดจะปิดเมืองต่อไปโดยไม่มีมาตรการรองรับคนจะอดตายก่อนตายเพราะโควิดครับ #ผนงบรวงรจตกม แปลว่า ผู้นำโง่บริวารง่าวเราจะตายกันหมด
วัฒนา เมืองสุข
28 มีนาคม 2563