ต้องจ้องรอดูนะว่าป่าไม้คนนี้จะโดนย้ายไหม
ขนาดว่ารายงานไปก็ขออภัยไว้ด้วย “ไม่ได้มีเจตนาที่จะไปกลั่นแกล้งใคร” และ “เจ้าหน้าที่ได้ทำไปตามหน้าที่
ตามข้อกฎหมาย”
จากที่ผู้อำนวยการศูนย์ป่าไม้ราชบุรีแจ้งผลการลงพื้นที่ตรวจข้อร้องทุกข์
“เพราะเชื่อว่ามีการบุกรุกครอบครองที่ดินของรัฐโดยมิชอบด้วยกฎหมาย”
โดยนายทวี ไกรคุปต์ อดีตรัฐมนตรี บิดาของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์
ส.ส.ราชบุรีพรรคพลังประชารัฐ บริเวณหมู่ ๙ ต.ท่าเคย อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ซึ่งนายวีระ
สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน ได้แจ้งความเป็นคดีอาญาไว้
ข้อสรุปก็คือ
พบว่าผู้ถูกฟ้องถือครองทำประโยชน์บนที่ดินของรัฐ ๗ แปลง ๓ ประเภท คือที่ป่าสงวนแห่งชาติ
๑๗ ไร่กว่าๆ ที่ป่าไม้ถาวรกว่า ๓๗๕ ไร่ และที่เขตปฏิรูปที่ดิน (สปก.) สองแปลง ๖๔๖
ไร่ รวมทั้งหมดเกิน ๑,๐๓๙ ไร่
“ในส่วนพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตป่าไม้ถาวร
อยู่ในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้โดยตรง
จะเก็บข้อมูลเพื่อเตรียมร้องทุกข์กล่าวโทษกับผู้ครอบครอง
เป็นลักษณะคดีเดียวกันกับนายวีระ สมความคิด ที่ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษไว้แล้ว”
นายพัฒนะ ศิริมัย ผอ.ป่าไม้ราชบุรีบอกว่าข้อหาก็คือ
“บุกรุกครอบครองทำประโยชน์ในที่ป่า” อาทิ ทำประโยชน์ทางสัญจร มีถังเหล็กเก็บน้ำ มีบ้านพัก
ฟาร์มจระเข้ และทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น
ทั้งนี้จะแจ้งความข้อกฎหมายมาตรา ๕๔ ของ
พรบ.ป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๗ มาตรา ๑๔ ประมวลกฎหมายที่ดิน
มาตรา ๙ และพ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๓๕ มาตรา ๙๗
แต่ในส่วนเป็นที่ สปก.นั้น “ก็จะช่วยสนับสนุนในการปฏิบัติงานของ
ส.ป.ก. และ บก.ปทส.ด้วย” ทว่าเรื่องที่ สปก.นั้น “กรมป่าไม้ได้ทำหนังสือสอบถามความเห็นไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วใน
๒ เรื่อง
คือ
พื้นที่ดังกล่าวยังเป็นป่าสงวนแห่งชาติอยู่หรือไม่
และพื้นที่ดังกล่าวพ้นสภาพจากป่าสงวนฯ ไปเป็นพื้นที่เกษตรกรรมแล้วหรือไม่” นายธวัชชัย
ลัดกลูด ในฐานะประธานคณะตรวจสอบเรื่องนี้ (แม้จะถูกย้ายลงไปอยู่พื้นที่อุดรธานีแทน)
เผย
ว่าตนได้เป็นตัวแทนกรมป่าไม้ไปหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว
“พบว่าน่าจะต้องดำเนินคดีกับ น.ส.ปารีณา เพิ่มเติม แต่จะดำเนินคดีเฉพาะพื้นที่ที่
น.ส.ปารีณาได้ทำประโยชน์ในที่ดิน เช่น ทำเล้าไก่ ทำรั้ว
ส่วนพื้นที่ที่เหลือเป็นของ ส.ป.ก.อยู่แล้ว
ขึ้นอยู่กับว่าจะนำไปจัดสรรให้เกษตรกร หรือจัดสรรที่ดินให้ผู้ยากไร้”
ก็ต้องรอวินิจฉัยของกฤษฎีกา หากแต่กรณีนี้ สปก.ได้เคยชี้แจงเช่นกันว่า
น.ส.ปารีณาได้ส่งคืนที่ สปก.แล้ว “ไม่มีบทลงโทษตามกฎหมาย”
(https://www.thairath.co.th/news/local/central/1766615 และ https://www.thairath.co.th/news/crime/1766413)
ทั้งหมดที่ระดับ ผอ.ป่าไม้สองคนพูดออกมา
อาจอ่านแล้วสับสนเล็กน้อย แต่จับความได้ว่าการครอบครองที่ป่าโดยนายทวีพ่อของปารีณานั้นเป็นความผิดแน่ๆ
แต่กรณีฟาร์มเลี้ยงไก่ขายขี้บนที่ สปก.ในนาม น.ส.ปารีณานั้นคืนให้แล้ว
ถึงจะผิดก็ไม่มีบทลงโทษ
ดังนั้นจึงมีข้อคิดนิดนึง
ในเมื่อป่าไม้เข้าไปตรวจสอบที่ทั้งของปารีณาและพ่อ
ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้อยู่ดูการตรวจของเจ้าหน้าที่ ตอนฟาร์มไก่ป่าไม้นัดตรวจก็ไม่อยู่รับรู้
การรื้อเล้าไก่ บก.ปสท.จัดการให้ ส่วนการตรวจที่พันกว่าไร่ครั้งหลังผู้ต้องหาไม่ไปนำชี้แนวเขต
ป่าไม้ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ ‘ปกครองในท้องที่’ (ผู้ใหญ่บ้าน) เป็นคนชี้แนวเขตให้แทน
ซึ่งก็ “มีความชัดเจนพอสมควร” อย่างนี้จะเรียกว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่รู้ไม่ชี้
ถังเก็บน้ำ ฟาร์มจรเข้ก็ไม่รู้ใครทำ ให้ป่าไม้รื้อถอนซะ และถือว่าคืนแล้ว ‘ไม่มีบทลงโทษ’ อีกได้ไหม
จะได้หมดเรื่องหมดราวไป อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยฮะ
สงสารลุงตูบเค้า เดี๋ยวโดนหนูเอ๋กระโดดกอดเข้าให้อีก กลับบ้านโดนหยิกเนื้อเขียว