วันพฤหัสบดี, สิงหาคม 01, 2562

ปวิน 'อิน วอชิงตัน' ซัลโวการเมืองไทย เกือบเดือนหลังถูกคนร้ายบุกถึงห้องนอน


ข่าว ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ หายไปจากหน้าโซเชียลมีเดียเป็นเดือน ท้ายสุดกระหึ่มหน้าหนังสือพิมพ์สายหลักในไทย ทั้งไทยรัฐ มติชน และ (ขาดไม่ได้) แนวหน้า ว่าลือกันแซ่ดในหมู่ผู้ลี้ภัยประเทศตะวันตกเชื่อ “ถูกทำร้าย”

ต่างอ้างข้อความทางโซเชียลฯ ของ จอม เพชรประดับ สุนัย จุลพงศธร และ โจ กอร์ดอน ว่าเรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกับการไล่ล่าอุ้มหายที่เกิดกับผู้ลี้ภัยคดีความผิดมาตรา ๑๑๒ ในลาว ๘ คนแน่ๆ โดยอดีต ส.ส.สุนัย นั้นแจ้งในคลิปรายการประจำของเขาทางยูทู้บเมื่อ ๒๙ ก.ค.ยืนยันว่า

“ถูกปองร้ายจริง เหตุเกิดที่ที่พักของท่านในเมืองเกียวโต” พร้อมพาดพิงเรื่องหน่วยล่าสังหาร “ตั้งแต่การเสียชีวิตของผู้ลี้ภัยในประเทศเพื่อนบ้าน ตอนนี้แม้ประเทศใหญ่อย่างญี่ปุ่นที่คิดว่ามันไม่เกิดก็เกิดขึ้นแล้ว

ด้านโจ หรือ เลอพงษ์ วิไชยคำมาตย์ โพสต์ไว้บนหน้าเฟชบุ๊คของเขาว่า “ขอเป็นกำลังใจให้...แม้รู้ว่าปลอดภัยแล้ว แต่เรื่องนี้เป็นสิ่งไม่ควรเกิดขึ้น เพียงเพราะมีความเห็นต่างทางการเมือง”

ส่วนจอมโพสต์ล่าสุดถึงเรื่องนี้ว่า “สร้างความกังวล กระวนกระวายใจในหมู่ผู้ติดตามอย่างยิ่ง” แนะให้ อจ.ปวิน “ชี้แจง บอกกล่าวกับบรรดาผู้ติดตาม...ไม่คควรเล่นกับความรู้สึกของมวลชนที่ชื่นชมและศรัทธาตัวเอง”


อีกแหล่งหนึ่งที่ติดตามข่าวการหายไปของปวินอย่างใกล้ชิด เป็นหน้าเฟชบุ๊คของ Andrew MacGregor Marshall ที่ระบุว่าแหล่งข่าวของเขาแจ้งว่า ผู้เข้าร่วมฟังการปาฐกถาของ อจ.ปวิน ที่ ‘East-West Center’ องค์กรเอกชนด้านวิจัยและนโยบาย หรือ ‘Think Tank’ ในกรุงวอชิงตัน ดีซี ยืนยันเช่นกันว่าปวินถูกทำร้ายจริง

จากคลิปการถ่ายทอดสดปาฐกถาของปวินที่นั่นเมื่อวันที่ ๒๖ ก.ค. นั้นเขาแจ้งกับผู้เข้าร่วมซึ่งเต็มไปด้วยตัวแทนหน่วยงานธิ้งแท้งอื่นๆ อดีตนักการทูต เจ้าหน้าที่องค์กรรัฐและงานวิจัย ก่อนที่จะเริ่มเข้าถึงเนื้อหาหัวข้อว่า

เมื่อเช้าตรู่วันที่ ๘ กรฎาคมที่ผ่านมา มีคนร้ายสวมชุดดำมีลาย บุกเข้าไปในห้องนอนของเขาในอะพ้าร์ตเม้นต์เมืองเกียวโต คนร้ายกระชากผ้าห่มออกแล้วฉีดน้ำยาสารเคมีใส่เขากับเพื่อนนอนแล้วเผ่นหนี เขาและเพื่อนพยายามไล่ตามแต่ไม่เป็นผล

ครั้นเมื่อตำรวจเกียวโตไปถึงหลังจากนั้น ร่วมสรุปว่าการบุกทำร้ายครั้งนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการข่มขู่ทางการเมืองจากประเทศไทยแน่ จึงได้ส่งคดีให้กับสำนักงานตำรวจนานาชาติของญี่ปุ่นรับผิดชอบในการสืบสวนสอบสวนต่อไป

ปวินกล่าวต่อว่าแม้จะเป็นเรื่องส่วนตัวที่ออกจะดร่าม่าอยู่หน่อย แต่ก็เป็นสิ่งต้องกังวลอันเกี่ยวพันกับหัวข้อย่อยที่เขาจะบรรยายต่อไปตอนหนึ่ง คือการจัดการอย่างเหี้ยมโหดของรัฐไทยกับศัตรูทางการเมือง ผู้ที่วิพากษ์รัฐบาล และผู้ลี้ภัย

ปวินเล่าให้ที่ประชุมทราบถึงการสูญหายผู้ลี้ภัยกลุ่ม โกตี๋ กลุ่มสุรชัย ด่านฯ และกลุ่ม ลุงสนามหลวงว่ายังเป็นสิ่งที่น่าสพรึงกลัวสำหรับรัฐบาลปัจจุบันในประเทศไทย ซึ่งแน่นอนเกี่ยวโยงอย่างยิ่งกับเนื้อหาการปาฐกถาที่ครอบคลุมเรื่องการรัฐประหาร การเปลี่ยนผ่านรัชกาล และการเลือกตั้ง

โดยเฉพาะเรื่องที่เขากล่าวถึงและตอบคำถามบ่อยๆ ในการปาฐกถา เกี่ยวเนื่องกับทักิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่เครือข่ายของเขาถูกคณะทหารทำรัฐประหารถึงสองครั้ง จนกระทั่งเจ้าตัวยอมรับกลายๆ ว่าขอวางมือการเมือง

ซึ่งคงจะ ชั่วคราวมั้ง ประเมินจากการเฟชไทม์ไล้ฟ์กับชาวไทยกลุ่มหนึ่งที่รออวยพรวันเกิดหน้าจอให้กับเขาในนครลอส แองเจลีส ว่าบางครั้งบางคราวมือก็ต้องวางบนโต๊ะ วางหน้าขาบ้าง ถึงอย่างไรก็ยังคงติดตามและให้ความเห็นทางการเมืองไทยอยุ่ต่อไป

ดังเช่นที่ทักษิณกล่าวในตอนหนึ่งกับชาวไทยในแอล.เอ.ว่า นโยบายต่างๆ ที่ คสช.ลอกเอาไปใช้นั้น นโยบายที่ประสบความสำเร็จของพรรคไทยรักไทยในอดีตหลายอย่าง ไม่สามารถใช้ได้แล้วกับสถานการณ์ปัจจุบัน

กลับมาที่ อจ.ปวิน ซึ่งเกริ่นก่อนปาฐกถาว่าได้เดินทางไปสัมภาษณ์อดีตนายกฯ ทักษิณ ในกรุงลอนดอนก่อนหน้าที่จะเดินทางมาสหรัฐพักหนึ่ง ได้เข้าถึงเนื้อหาหลากหลายมากมายแต่นำมาเปิดต่อสาธารณะได้บางส่วน เช่นเมื่อตอบคำถามผู้ฟังตอนหนึ่งถึงการเลือกตั้งในไทย

“คุณทักษิณยังบอกเลยว่าพรรคการเมืองไทยทั้งหลายขณะนี้เหมือนดอกไม้สวยงามประดับแจกัน” รวมทั้งประเด็นแรงที่ว่าการเมืองไทยการใช้ยุทธวิธี “เอาใจบางสถาบันอาจไม่ได้ผลแล้วเวลานี้” เมื่อผู้ฟังพยายามซักว่าสถาบันที่ว่าเป็นอะไร ปวินว่าขอไม่ตอบ

จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่มีคำถามต่อเนื่องไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ของไทยกับทักษิณ ซึ่งปวินเผยคำพูดของทักษิณว่า “I know the Crown Prince, but I don’t know Rama 10.” เช่นเดียวกับคำถามถึงการทรงลงเป้นผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพระพี่นางอุบลรัตน์

ปวินเล่าว่าทูลกระหม่อมกับทักษิณสนิทกันมานานแล้วห่างกันไปพักใหญ่จนกระทั่งหลังๆ “At a certain point she mentioned she was interested in politics. In what capacity she was asked and she said ‘Prime Minister’.”

ปวินยังวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่มีกระแสต่อต้านเกิดขึ้นจนไปสู่การยุบพรรคไทยรักษาชาติและตัดสิทธิทางการเมืองของผู้บริหารพรรคว่า เป็นเพราะ “The princess sister who has close tie with the military interfered.”

เนื้อหาสำคัญทางวิชาการอันหนึ่งในการปาฐกถาของ อจ.ปวินต่อศูนย์วิจัยตะวันออก-ตะวันตกของอเมริกาครั้งนี้ อยู่ที่การตอบคำถามประเด็นทำอย่างไรที่จะปลดแอกประเทศไทยจากระบบอำนาจนิยม เปลี่ยนไปสู่สังคมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

ปวินตอบว่าเขามีทฤษฎี ๓ อย่าง ซึ่งล้วนยากมากที่จะกระทำให้สำเร็จได้ แต่ก็พอมีหวังได้แก่ หนึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงมาจากเบื้องบน คือสถาบันกษัตริย์ปฏิรูปตนเองแบบราชวงศ์ยุโรปและญี่ปุ่น สองผ่านกระบวนการเลือกตั้ง ซึ่งตัวอย่างที่เห็นแสดงว่ายังยาก

ข้อสามจะมาจากการ ‘uprising’ แต่จะต้องผ่านสถานการณ์ที่ประชาชนทนไม่ไหวถึงที่สุดจริงๆ และตนยังมองไม่เห็นในจุดนั้น การลุกฮือของประชาชนต้องเกิดในขอบข่ายที่ยิ่งใหญ่มโหฬารมากจึงจะสำเร็จ มิฉะนั้นประเทศไทยต้องทนกับสภาพล้าหลังอย่างนี้ต่อไป

โดย ไม่มีแสงไฟที่ปลายอุโมงก์

หมายเหตุ ถ้อยคำต่างๆ ในที่นี้เป็นของผู้เขียนเองทั้งสิ้น โดยการถอดความจากคำปาฐกถาภาษาอังกฤษ เชิญฟังและชมด้วยตัวเองที่ https://vimeo.com/350332621?fbclid=IwAR0waZnPC2sDY8MQVSpjfMS1cLGvc5Lr6TLyP_tf-74ZDvBNMZX4lNC_bX8