ข่าว ‘ปวิน
ชัชวาลพงศ์พันธ์’ หายไปจากหน้าโซเชียลมีเดียเป็นเดือน
ท้ายสุดกระหึ่มหน้าหนังสือพิมพ์สายหลักในไทย ทั้งไทยรัฐ มติชน และ (ขาดไม่ได้)
แนวหน้า ว่าลือกันแซ่ดในหมู่ผู้ลี้ภัยประเทศตะวันตกเชื่อ “ถูกทำร้าย”
ต่างอ้างข้อความทางโซเชียลฯ ของ จอม
เพชรประดับ สุนัย จุลพงศธร และ โจ กอร์ดอน ว่าเรื่องนี้เกี่ยวเนื่องกับการไล่ล่าอุ้มหายที่เกิดกับผู้ลี้ภัยคดีความผิดมาตรา
๑๑๒ ในลาว ๘ คนแน่ๆ โดยอดีต ส.ส.สุนัย นั้นแจ้งในคลิปรายการประจำของเขาทางยูทู้บเมื่อ
๒๙ ก.ค.ยืนยันว่า
“ถูกปองร้ายจริง
เหตุเกิดที่ที่พักของท่านในเมืองเกียวโต” พร้อมพาดพิงเรื่องหน่วยล่าสังหาร “ตั้งแต่การเสียชีวิตของผู้ลี้ภัยในประเทศเพื่อนบ้าน
ตอนนี้แม้ประเทศใหญ่อย่างญี่ปุ่นที่คิดว่ามันไม่เกิดก็เกิดขึ้นแล้ว”
ด้านโจ หรือ เลอพงษ์ วิไชยคำมาตย์ โพสต์ไว้บนหน้าเฟชบุ๊คของเขาว่า
“ขอเป็นกำลังใจให้...แม้รู้ว่าปลอดภัยแล้ว แต่เรื่องนี้เป็นสิ่งไม่ควรเกิดขึ้น
เพียงเพราะมีความเห็นต่างทางการเมือง”
ส่วนจอมโพสต์ล่าสุดถึงเรื่องนี้ว่า “สร้างความกังวล
กระวนกระวายใจในหมู่ผู้ติดตามอย่างยิ่ง” แนะให้ อจ.ปวิน “ชี้แจง
บอกกล่าวกับบรรดาผู้ติดตาม...ไม่คควรเล่นกับความรู้สึกของมวลชนที่ชื่นชมและศรัทธาตัวเอง”
(https://www.thairath.co.th/news/politic/1627236 และ https://www.matichon.co.th/politics/news_1606063)
อีกแหล่งหนึ่งที่ติดตามข่าวการหายไปของปวินอย่างใกล้ชิด
เป็นหน้าเฟชบุ๊คของ Andrew MacGregor Marshall
ที่ระบุว่าแหล่งข่าวของเขาแจ้งว่า ผู้เข้าร่วมฟังการปาฐกถาของ อจ.ปวิน ที่ ‘East-West
Center’ องค์กรเอกชนด้านวิจัยและนโยบาย หรือ ‘Think Tank’ ในกรุงวอชิงตัน ดีซี ยืนยันเช่นกันว่าปวินถูกทำร้ายจริง
จากคลิปการถ่ายทอดสดปาฐกถาของปวินที่นั่นเมื่อวันที่
๒๖ ก.ค. นั้นเขาแจ้งกับผู้เข้าร่วมซึ่งเต็มไปด้วยตัวแทนหน่วยงานธิ้งแท้งอื่นๆ
อดีตนักการทูต เจ้าหน้าที่องค์กรรัฐและงานวิจัย ก่อนที่จะเริ่มเข้าถึงเนื้อหาหัวข้อว่า
เมื่อเช้าตรู่วันที่ ๘ กรฎาคมที่ผ่านมา
มีคนร้ายสวมชุดดำมีลาย บุกเข้าไปในห้องนอนของเขาในอะพ้าร์ตเม้นต์เมืองเกียวโต
คนร้ายกระชากผ้าห่มออกแล้วฉีดน้ำยาสารเคมีใส่เขากับเพื่อนนอนแล้วเผ่นหนี เขาและเพื่อนพยายามไล่ตามแต่ไม่เป็นผล
ครั้นเมื่อตำรวจเกียวโตไปถึงหลังจากนั้น ร่วมสรุปว่าการบุกทำร้ายครั้งนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการข่มขู่ทางการเมืองจากประเทศไทยแน่
จึงได้ส่งคดีให้กับสำนักงานตำรวจนานาชาติของญี่ปุ่นรับผิดชอบในการสืบสวนสอบสวนต่อไป
ปวินกล่าวต่อว่าแม้จะเป็นเรื่องส่วนตัวที่ออกจะดร่าม่าอยู่หน่อย
แต่ก็เป็นสิ่งต้องกังวลอันเกี่ยวพันกับหัวข้อย่อยที่เขาจะบรรยายต่อไปตอนหนึ่ง
คือการจัดการอย่างเหี้ยมโหดของรัฐไทยกับศัตรูทางการเมือง ผู้ที่วิพากษ์รัฐบาล
และผู้ลี้ภัย
ปวินเล่าให้ที่ประชุมทราบถึงการสูญหายผู้ลี้ภัยกลุ่ม
‘โกตี๋’ กลุ่มสุรชัย
ด่านฯ และกลุ่ม ‘ลุงสนามหลวง’ ว่ายังเป็นสิ่งที่น่าสพรึงกลัวสำหรับรัฐบาลปัจจุบันในประเทศไทย
ซึ่งแน่นอนเกี่ยวโยงอย่างยิ่งกับเนื้อหาการปาฐกถาที่ครอบคลุมเรื่องการรัฐประหาร
การเปลี่ยนผ่านรัชกาล และการเลือกตั้ง
โดยเฉพาะเรื่องที่เขากล่าวถึงและตอบคำถามบ่อยๆ
ในการปาฐกถา เกี่ยวเนื่องกับทักิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่เครือข่ายของเขาถูกคณะทหารทำรัฐประหารถึงสองครั้ง
จนกระทั่งเจ้าตัวยอมรับกลายๆ ว่าขอวางมือการเมือง
ซึ่งคงจะ ‘ชั่วคราว’
มั้ง ประเมินจากการเฟชไทม์ไล้ฟ์กับชาวไทยกลุ่มหนึ่งที่รออวยพรวันเกิดหน้าจอให้กับเขาในนครลอส
แองเจลีส ว่าบางครั้งบางคราวมือก็ต้องวางบนโต๊ะ วางหน้าขาบ้าง
ถึงอย่างไรก็ยังคงติดตามและให้ความเห็นทางการเมืองไทยอยุ่ต่อไป
ดังเช่นที่ทักษิณกล่าวในตอนหนึ่งกับชาวไทยในแอล.เอ.ว่า
นโยบายต่างๆ ที่ คสช.ลอกเอาไปใช้นั้น
นโยบายที่ประสบความสำเร็จของพรรคไทยรักไทยในอดีตหลายอย่าง ไม่สามารถใช้ได้แล้วกับสถานการณ์ปัจจุบัน
กลับมาที่ อจ.ปวิน
ซึ่งเกริ่นก่อนปาฐกถาว่าได้เดินทางไปสัมภาษณ์อดีตนายกฯ ทักษิณ ในกรุงลอนดอนก่อนหน้าที่จะเดินทางมาสหรัฐพักหนึ่ง
ได้เข้าถึงเนื้อหาหลากหลายมากมายแต่นำมาเปิดต่อสาธารณะได้บางส่วน
เช่นเมื่อตอบคำถามผู้ฟังตอนหนึ่งถึงการเลือกตั้งในไทย
“คุณทักษิณยังบอกเลยว่าพรรคการเมืองไทยทั้งหลายขณะนี้เหมือนดอกไม้สวยงามประดับแจกัน”
รวมทั้งประเด็นแรงที่ว่าการเมืองไทยการใช้ยุทธวิธี “เอาใจบางสถาบันอาจไม่ได้ผลแล้วเวลานี้”
เมื่อผู้ฟังพยายามซักว่าสถาบันที่ว่าเป็นอะไร ปวินว่าขอไม่ตอบ
จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่มีคำถามต่อเนื่องไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระมหากษัตริย์องค์ใหม่ของไทยกับทักษิณ
ซึ่งปวินเผยคำพูดของทักษิณว่า “I know the Crown Prince, but
I don’t know Rama 10.” เช่นเดียวกับคำถามถึงการทรงลงเป้นผู้สมัครชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของพระพี่นางอุบลรัตน์
ปวินเล่าว่าทูลกระหม่อมกับทักษิณสนิทกันมานานแล้วห่างกันไปพักใหญ่จนกระทั่งหลังๆ
“At a certain point she mentioned she was interested in
politics. In what capacity she was asked and she said ‘Prime Minister’.”
ปวินยังวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่มีกระแสต่อต้านเกิดขึ้นจนไปสู่การยุบพรรคไทยรักษาชาติและตัดสิทธิทางการเมืองของผู้บริหารพรรคว่า
เป็นเพราะ “The princess sister who has close tie with the
military interfered.”
เนื้อหาสำคัญทางวิชาการอันหนึ่งในการปาฐกถาของ
อจ.ปวินต่อศูนย์วิจัยตะวันออก-ตะวันตกของอเมริกาครั้งนี้ อยู่ที่การตอบคำถามประเด็นทำอย่างไรที่จะปลดแอกประเทศไทยจากระบบอำนาจนิยม
เปลี่ยนไปสู่สังคมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ปวินตอบว่าเขามีทฤษฎี ๓ อย่าง ซึ่งล้วนยากมากที่จะกระทำให้สำเร็จได้
แต่ก็พอมีหวังได้แก่ หนึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงมาจากเบื้องบน
คือสถาบันกษัตริย์ปฏิรูปตนเองแบบราชวงศ์ยุโรปและญี่ปุ่น สองผ่านกระบวนการเลือกตั้ง
ซึ่งตัวอย่างที่เห็นแสดงว่ายังยาก
ข้อสามจะมาจากการ ‘uprising’ แต่จะต้องผ่านสถานการณ์ที่ประชาชนทนไม่ไหวถึงที่สุดจริงๆ และตนยังมองไม่เห็นในจุดนั้น
การลุกฮือของประชาชนต้องเกิดในขอบข่ายที่ยิ่งใหญ่มโหฬารมากจึงจะสำเร็จ
มิฉะนั้นประเทศไทยต้องทนกับสภาพล้าหลังอย่างนี้ต่อไป
โดย ‘ไม่มีแสงไฟที่ปลายอุโมงก์’
หมายเหตุ ถ้อยคำต่างๆ
ในที่นี้เป็นของผู้เขียนเองทั้งสิ้น โดยการถอดความจากคำปาฐกถาภาษาอังกฤษ
เชิญฟังและชมด้วยตัวเองที่ https://vimeo.com/350332621?fbclid=IwAR0waZnPC2sDY8MQVSpjfMS1cLGvc5Lr6TLyP_tf-74ZDvBNMZX4lNC_bX8