วันเสาร์, สิงหาคม 03, 2562

'บึ้ม ๕ จุด' เข้าสมการต้องกังขา "เป็น ‘ระเบิดแสวงเครื่อง’ หรือ ‘ระเบิดแสวงอำนาจ’” กันแน่

ตกลง ระเบิดกลางกรุง ๕ จุดเมื่อ ๑ สิงหา น่าจะเป็นฝีมือกลุ่มก่อการร้ายภาคใต้ ซึ่งในยุค คสช.ครองเมือง ๕ ปีที่ผ่านมาก็ได้ยกระดับปฏิบัติการขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านการเลือกตั้ง และทางการไทยภายใต้ คสช.๑ ก็ไม่เคยควบคุมให้สถานการณ์ราบคาบเหมือนที่ทำกับผู้เห็นต่างทางการเมืองได้

แต่บรรดาตัวเอ้ๆ ของนักรัฐประหารทั้งหลายต่างพูดสองแง่สองง่ามกันไว้ก่อนว่าเกิดจากน้ำมือ กลุ่มเก่าๆ เดิมๆขนาด ผบ.ทบ.สาดใส่ทันควัน “คนสั่งการคนเดิม แต่คนลงมืออาจเป็นคนหน้าใหม่” ซึ่งเบื้องต้นคนรับผิดชอบคดีโดยตรงก็ยังพูดทำนองนั้น

ในที่สุด วานนี้ (๒ ส.ค.) ผบ.ตร.แถลงว่าระเบิดที่เกิดมีเชื่อมโยงกัน ๓ จุด รวมทั้งรายที่นำระเบิดไปซุกไว้ใต้ป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งจับ ๒ คนร้ายได้อย่างว่องไวที่ชุมพรขณะเดินทางรถทัวร์ลงใต้ จุดหมายหาดใหญ่

๕ จุดของระเบิดทั้งหมดได้แก่ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ (๓ ครั้ง) สถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี ตึกมหานคร (๒ ครั้ง) ตึกบัญชาการกองทัพไทย (๒ ลูก) และซอยพระราม ๙ แยก ๕๗/๑ มีผู้บาดเจ็บทั้งหมด ๔ คน ส่วนใหญ่ที่พระราม ๙ เป็นพนักงานกวาดถนน และเป็นแห่งเดียวที่ใช้ระเบิดปิงปอง นอกนั้น แสวงเครื่อง

“จากแนวทางการสืบสวนพบว่าผู้ก่อเหตุเป็นกลุ่มเดียวกันกับที่ก่อเหตุระเบิด ๗ จังหวัดภาคใต้ตอนบนเมื่อปี ๒๕๕๙” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ระบุ “การก่อเหตุครั้งนี้เป็นกลุ่มเดิมๆ แต่มีการใช้คนหน้าใหม่” คล้ายข้อสังเกตุของ ผบ.ทบ. ต่างที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ โยงไปโน่น ถึงการก่อการร้ายปี ๒๕๔๙
 
ข้ออ้างจากการวิเคราะห์สถานการณ์ของปณิธาน วัฒนายากร อดีตที่ปรึกษา รมว.กลาโหมคนเก่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ว่าเป็นการฉวยโอกาสปฏิบัติการ “ในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนรัฐบาล มีช่วงสุญญากาศอยู่”

ขณะที่มี “การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนช่วงนี้ ได้ดึงกำลังตำรวจหลายพันนายไปดูแลความเรียบร้อยตรงนั้น ทำให้เกิดช่องว่าง” และว่า “เป็นกลุ่มการเมืองที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรง ที่ย้ายฐานในช่วงรอยต่อรัฐบาล”

ซึ่งถ้าอภิรัชต์ ประยุทธ์ ประวิตร และจักรทิพย์พูดให้ชัดเจนเสียแต่แรก ก็ไม่ต้องมีเสียงจาก “ฝ่ายการเมือง หรือพวกที่ไม่หวังดีกับประเทศ มาใส่ความว่าฝ่ายความมั่นคงทำเรื่องแบบนี้เอง” อย่างที่อภิรัชต์บ่น คสช.๒ ทำตัวของตัวเองไม่ต้องโทษใคร

ผลทันตาก็คือ “ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลงต่ำสุดของวัน ๑,๖๗๑.๙๗ จุด ลดลง ๒๗.๗๘ จุด ก่อนมาปิดทำการที่ ๑,๖๘๔.๗๑ จุด ลดลง ๑๕.๐๔ จุด มีมูลค่าการซื้อขาย ๘๒,๐๓๒ ล้านบาท” เรื่องนี้ขาหุ้นรู้ดีว่า เอสอีทีร้องเพลงสาละวันเตี้ยลงต่อเนื่องมาสองสามเดือนแล้ว ลุ้นกันอยู่แต่อย่าต่ำกว่า ๑,๗๐๐ แล้วกัน

จากการที่รีบโหมประโคมปัดสวะข้ามรัฐบาล “อยากให้มองว่าทำไมในช่วง ๕ ปีที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเหตุระเบิดขึ้นเลย แล้วทำไมมาเกิดขึ้นในช่วงเวลาแบบนี้ ตราบใดที่ยังมีคนไม่ดีก็ยังมีเหตุแบบนี้เกิดขึ้นอยู่” ดังที่ประยุทธ์พูด

คนไม่ดีอย่างสองผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมและปฏิเสธ “มันอุตส่าห์ดั้นด้นเดินทางขึ้นมากรุงเทพเพื่อมาขว้างระเบิดปลอมใส่ป้ายตำรวจเนี่ยนะ กูละหัวเราะลั่นห้องเลยตอนนี้ จริงๆ นะ มันไม่สมเหตุสมผลอ่ะ หามุขใหม่มาเล่นเหอะตู่ น้ำเน่าว่ะ”
 
เสียงตอบจากประชากรออนไลน์อย่าง @Johncubota ที่แจงยิบ “สองคนนี้พอตอนกลับ เปลี่ยนชุดสองสามรอบ แต่ดันพกระเบิดปลอมขึ้นรถบัสกับมาด้วย...คือช่วยเมคเรื่องให้ดูซับซ้อนสักหน่อยก็ไม่ได้นะ” ลงท้าย “โชคดีมากๆ ที่ค้นตัวแล้วไม่พบบัตร นปช.”

ถึงพบก็คงไม่มีความหมาย เพราะ นปช.เดี๋ยวนี้ชูธง ปรองดองต้องพบบัตรสมาชิกพรรคอนาคตใหม่นั่นสิ เป็นเรื่องใหญ่ เห็นทั้ง ผบ.ทบ. และ ผบ.ทร.เน้นกันนักหนาว่าก่อการร้ายส่งไม้ต่อ คนรุ่นใหม่

มันเข้าสมการอย่างที่โฆษกพรรคเพื่อไทยตั้งคำถาม “ตกลงที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบเป็น ระเบิดแสวงเครื่อง หรือ ระเบิดแสวงอำนาจ” กันแน่ (Anusorn Eiamsaard @AnusornOfficial)

กระทั่งเรื่องกระเป๋าสัมภาระเดินทางที่มีคนไปวางไว้ที่ป้ายรถเมล์หน้าซอย ๔๔ พหลโยธิน เปิดออกมาเจอเสื้อสองตัว สีเหลืองกับสีแดง มีคอมเม้นต์ติ่งข่าวบางกอกโพสต์รายหนึ่งว่า “A red shirt and a yellow shirt. This is getting mystifying.” ประมาณนั้น (Andrew Clark @qandrew)

ถ้อยปฏิกิริยาเบื้องต้นต่อเหตุระเบิดของประดาหัวโจก คสช.๒ ส่อเจตนาบิดเบี้ยว ดั่งหาเหตุโจมตีฝ่ายตรงข้ามไว้ก่อน ชนิดที่ลิ่วล้อที่ได้รับแต่งตั้งเป็นองครักษ์ปกป้องหัวหน้าใหญ่ในสภา ที่ในระยะเดือนสองเดือนที่ผ่านมาพยายามประโคมตัวเองอย่างหนักด้วยการพ่นกลิ่นอย่าง สกั๊งค์

ใส่ทันทีโดยไม่มียั้งคิดใดๆ ออกชื่อ นายกฯ ทักษิณโจ่งแจ้งว่า “พอหยุดเผาก็มาระเบิด #อำมะหิด” หล่อนกล้าทำในสิ่งที่นักการเมืองที่มีวิจารณญานไม่ทำอย่างนี้ น่าจะถือตัวว่ามี แบ็ค ดีเลิศเลอเป็นแน่ มิใยที่ตนเองกำลังตกถังอาจมลึก
 
ขณะที่กำลังมีการรณรงค์ชื่อผู้ที่เรียกร้องให้มีการปลด น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ออกจากสมาชิกภาพ ส.ส. (สังกัดพรรคพลังประชารัฐ) ทาง www.change.org/p/ถอดถอน-ปารีณาพ้นสภาส-ส “ฝ่าฝืนหรือไม่ปฎิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

กรณีนี้ถ้าเป็นการยื่นคำร้องเรียนต่อวุฒิสภาด้วยจำนวนผู้ลงนามอย่างน้อย ๒ หมื่นราย เป็นเหตุให้วินิจฉัยตามบทบัญญัติมาตรา ๒๗๐ แห่งรัฐธรรมนูญ ปลดจากสมาชิกภาพ ส.ส.ตามมาตรา ๑๖๔ ได้

ซึ่งแน่นอนว่าวุฒิสภาตู่ตั้งชุดนี้จะไม่ยอมรับพิจารณาเด็ดขาด แต่ก็ยังมีผู้ไปลงนามแล้ว (ณ นาฑีนี้) กว่า ๖๖,๔๔๐ ราย แสดงว่า น.ส.ปารีณามีคนเห็นว่าเป็นผู้สร้างความเสื่อมเสียแก่สังคมและบ้านเมืองแล้วมากกว่าที่รัฐธรรมนูญกำหนด

(https://www.thairath.co.th/news/local/bangkok/1629143, https://www.matichon.co.th/politics/news_1608796, https://www.matichonweekly.com/hot-news/article_216475 และ https://voicetv.co.th/read/TuQfuk7Tl)