ชำนาญ จันทร์เรือง
แทบทุกครั้งที่ไทยเรามีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่
ข้อเรียกร้องร้องให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติจะถูกหยิบยกขึ้นพูดถึงอยู่เสมอ แต่ในการร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้มีที่แปลกกว่าครั้งอื่น
เพราะมีการหยิบยกและโจมตีผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการให้ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติว่า
"เป็นคนไทยหรือเปล่า" หรือ"ถ้าไม่เห็นด้วยก็ให้ออกไปอยู่ที่อื่น"
ฯลฯ
ทำให้เราต้องมาพิจารณาว่าจริงๆแล้วเป็นคนไทยต้องเป็นพุทธ หรือเป็นพุทธจึงจะเป็นคนไทย
คนศาสนาอื่นหรือไม่ได้นับถือศาสนาใดๆ มิใช่คนไทยกระนั้นหรือ
ในส่วนตัวผมเองแล้วผมเฉยๆกับการที่จะให้ศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ
เพราะผมเห็นว่าความเจริญรุ่งเรืองหรือความเป็นอยู่ของผมคงไม่ได้ดีขึ้นหรือแย่ลง
เว้นเสียแต่ว่าจะมีการออกกฎหมายที่มากระทบความเป็นอยู่ของผู้คนโดยอาศัยกฎเกณฑ์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง
ไปจำกัดสิทธิเสรีภาพของผู้คนจนเกินควรหรือเกินกว่าที่จะรับได้
ความขัดแย้งหรือศึกสงครามที่เกิดขึ้นในโลกนี้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันล้วนมีสาเหตุมาจากสามสาเหตุใหญ่ๆ
ซึ่งก็คือสาหตุจากการเมือง ศาสนา และเชื้อชาติ
หากความขัดแย้งหรือศึกสงครามนั้นมาจากสาเหตุจากทางการเมืองล้วนๆ
ค่อนข้างจะแก้ไขได้ง่าย หากไม่ชนะด้วยกำลังอาวุธยุทโธปกรณ์หรือกำลังพลที่เหนือกว่า
ก็จะจบจบลงด้วยการเจรจา หากต่างฝ่ายต่างรู้ว่าขืนสู้รบกันต่อไปก็รังแต่เสียหายด้วยกันทั้งคู่
แต่เมื่อใดความขัดแย้งหรือศึกสงครามมาจากสาเหตุทางเชื้อชาติหรือศาสนาแล้ว
การแก้ไขก็ยากขึ้นและใช้เวลานาน เช่นสงครามครูเสดระหว่าคริสต์และอิสลาม ต้องใช้เวลากว่าสามร้อยปีจึงจะสงบลงได้
หรือศึกสงครามระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส หรือไทยกับพม่า (ถ้าจะเรียกให้ถูกก็คืออยุธยากับหงสาวดี
เพราะตอนนั้นยังไม่มีรัฐไทยกับรัฐพม่า)
แต่หากความขัดแย้งหรือศึกสงครามนั้นมาจากทั้งเชื้อชาติและศาสนาแล้วยากที่แก้ไขได้โดยง่าย
เช่น กรณีชาวพุทธพม่ากับชาวโรฮิงญาในยะไข่
และใกล้ตัวที่น่ากลัวที่สุดหากเกิดขึ้นก็คือ การที่มีพระสงฆ์บางรูปออกมาเรียกร้องให้แก้แแค้นชาวมุสลิมหากมีชาวพุทธถูกสังหาร
ด้วยการเผามัสยิดแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน
เราปฏิเสธไม่ได้ว่าในโลกนี้มีรัฐอยู่สองรูปแบบ
คือรัฐศาสนาที่ปกครองด้วยกฎเกณฑ์ทางศาสนา
กับรัฐฆราวาสหรือที่เรียกอีกอย่างว่ารัฐโลกวิสัย ที่แยกศาสนาออกจากรัฐ
ซึ่งรัฐที่แยกศาสนาออกจากรัฐนี้ล้วนแล้วที่มีประวัติศาสตร์หรือบทเรียนจากในอดีต ที่ศาสนาจักรมีอำนาจเหนืออาณาจักร
ทำให้การบริหารบ้านเมืองเป็นไปด้วยความยากลำบาก เช่น
ในยุโรปถูกครอบงำจากวาติกันเป็นต้น ซึ่งหลายรัฐในปัจจุบัน เช่น
ฝรั่งเศสไม่ให้มีการนำสัญลักษณ์ใดๆ ที่บ่งชี้ถึงศาสนา ไปติดหรือประดับร่างกายในโรงเรียนหรือสถานที่ราชการ
ฯลฯ
สำหรับรัฐไทยเรานั้นจัดอยู่ในประเภทที่สองคือรัฐโลกวิสัย
เพราะให้สิทธิเสรีภาพแก่ผู้คนในการนับถือศาสนา และแยกศาสนาออกจากการเมือง เช่น
การจำกัดสิทธินักพรตนักบวชไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวทางการเมือง จนแม้กระทั่งบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญถาวรทุกฉบับว่าไม่ให้มีสิทธิเลือกตั้ง
ฯลฯ ศาสนิกชนแต่ละศาสนาต่างอยู่ร่วมกันมาช้านาน
บางที่แม้แต่กำแพงวัดกับมัสยิดยังใช้ร่วมกันเลย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐไทยเราจะเป็นรัฐโลกวิสัยหรือรัฐฆราวาส
แต่ก็มีหลายครั้งที่ดูแปลกๆที่รัฐไทยกระทำขัดแย้งกับหลักการดังกล่าว เช่น
การออกกฏเกณฑ์ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันพระใหญ่ ฯลฯ
ทั้งที่บางศาสนาก็ไม่ได้ห้ามศาสนิกของตนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น
คริสต์ศาสนิกชน เป็นต้น
แต่ต้องมารับผลแห่งข้อห้ามนั้น
จึงทำให้ดูเหมือนกับเป็นการเลือกปฏิบัติทางศาสนา หรือออกกฎเกณฑ์ที่ไม่คำนึงถึงศาสนาอื่น
ผมไม่อยากเห็นไทยเราเป็นเหมือนซูดานที่ลงโทษประหารชีวิตคุณมาเรียมที่ถูกกล่าวหาว่าเปลี่ยนศาสนา ทั้งๆ
ที่พ่อและแม่ของเธอนับถือศาสนาที่ต่างกัน และแน่นอนว่าผมไม่อยากเห็นไทยเราเป็นเหมือนพม่าที่เป็นเมืองพุทธ
และประชาชนขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่ใจบุญอันดับต้นๆของโลก
แต่กลับมีพระสงฆ์ที่คลั่งศาสนาสุดกู่นำชาวพุทธไปเผาบ้านชาวมุสลิมที่ยะไข่
จนทำให้เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่นอกเหนือจากความยากจนที่ผลักให้ชาวโรฮิงญาอยู่ไม่ได้
ต้องอพยพเป็นมนุษย์เรือ และหลายพันชีวิตต้องกลายเป็นศพฝังร่างอยู่กลางทะเล หรือแม้แต่ต้องถูกขุดหลุมฝังอยู่ตามชายแดนไทยมาเลย์เซียเป็นร้อยๆศพ
คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก
จะคิดทำการสิ่งใดควรที่จะเอาใจเขามาใส่ใจเรา เราไม่อยากให้คนอื่นทำกับเราอย่างไร
เราก็ไม่ควรไปทำกับเขาเช่นนั้น ใช่ไหมครับ
________
หมายเหตุ เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่
11 พฤศจิกายน 2558