วันเสาร์, มิถุนายน 21, 2568

เกิดอะไรขึ้นกับอาณาจักร "คิง เพาเวอร์" หลังแจ้ง ทอท. ขอยกเลิกสัมปทานดิวตี้ฟรีทั้งหมด 5 สนามบิน

20 มิถุนายน 2025
บีบีซีไทย

เกิดคำถามขึ้นในสังคมทันทีหลังจาก บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ผู้รับสัมปทานร้านค้าปลอดภาษีรายใหญ่ของไทย ขอยื่นหนังสือ ต่อ บมจ. ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) ในวันที่ 13 มิ.ย. ที่ผ่านมา เพื่อขอหารือแนวทางยกเลิกสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรหรือดิวตี้ฟรี ในสนามบิน 5 แห่ง คือ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ และท่าอากาศยานหาดใหญ่

ธุรกิจดิวตี้ฟรี ถือได้ว่าคือ "เส้นเลือดใหญ่" ของธุรกิจครอบครัวศรีวัฒนประภามาอย่างยาวนานเกือบ 30 ปี

ก่อนหน้านี้คิง เพาเวอร์ เคยผ่านการเจรจากับ ทอท. หลายครั้งเพื่อขอแก้ไขสัญญาและพักหนี้

แม้ผลประโยชน์ตอบแทนที่ค้างจ่ายต่อ ทอท. ไม่ปรากฏตัวเลขทางการที่แน่ชัด แต่จากการเปิดเผยของนายกีรติ กิจมานะวัฒน์ อดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. เมื่อเดือน ก.พ. 2568 กับฐานเศรษฐกิจ ระบุว่า บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ค้างชำระจ่ายค่าตอบแทนให้กับ ทอท. จำนวน 4,000 ล้านบาท

ขณะเดียวกันในการยื่นหนังสือครั้งล่าสุด บริษัทระบุว่า "ต้องการหารือเพื่อพิจารณายกเลิกสัญญาสัมปทานดิวตี้ฟรี ทั้ง 3 สัญญา ในท่าอากาศยาน 5 แห่ง"

ประเด็นดังกล่าวทำให้สังคมตั้งคำถามถึงสภาพคล่องทางการเงินของธุรกิจในอาณาจักรคิง เพาเวอร์ ภายใต้การบริหารงานของทายาทรุ่นใหม่ของตระกูล หลังได้รับสัญญาประกอบกิจการดิวตี้ฟรีเป็นเวลา 10 ปี ตั้งแต่ 28 ก.ย. 2563 และจะหมดสัญญาสัมปทานในวันที่ 31 มี.ค. 2576

เกิดอะไรขึ้นบ้างกับอาณาจักรดิวตี้ฟรีแห่งนี้ บีบีซีไทย สำรวจสภาพคล่องทางการเงินของอาณาจักรคิง เพาเวอร์ จากรุ่นพ่อสู่รุ่นลูกว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ?

ส่องผลประกอบการ "คิง เพาเวอร์" หลังสิ้นสุดยุค 'เจ้าสัววิชัย'

การจากไปอย่างกะทันหันของเจ้าสัววิชัย ศรีวัฒนประภา ในอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตกที่อังกฤษเมื่อปี 2561 ทำให้หลายฝ่ายจับตาว่า การบริหารอาณาจักรธุรกิจสินค้าปลอดภาษีรายใหญ่ของไทยจะเป็นไปในทิศทางใด

หากพิจารณาตามขีดความสามารถในการทำรายได้ในธุรกิจดิวตี้ฟรีทั่วโลกแล้ว ย้อนกลับไปในช่วงปี 2561 คิง เพาเวอร์ ถือว่าเป็นผู้เล่นในตลาดที่ถูกจับตาอย่างมาก และยังถูกจัดให้อยู่อันดับที่ 7 ในการจัดอันดับ 10 ธุรกิจดิวตี้ฟรีที่ทำรายได้มากที่สุดในโลก โดย เดอะ มูดี้ เดวิตต์ (The Moodie Davitt) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านข้อมูลทางธุรกิจของสหราชอาณาจักร

อาณาจักรธุรกิจมูลค่าแสนล้านของตระกูลศรีวัฒนประภาถูกส่งมอบไปให้ทายาทรุ่นใหม่ โดยมีนายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา เข้ามารับช่วงต่อธุรกิจดิวตี้ฟรี ซึ่งเขาเคยเปิดเผยกับ เว็บไซต์นิตยสารแพรวด้วยว่า เขามีเป้าหมายดันคิง เพาเวอร์ "เป็นท็อปดิวตี้ฟรีในเอเชีย"


นายวิชัย ศรีวัฒนประภา (ซ้าย) ผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ และลูกชาย นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ผู้รับช่วงต่อสืบทอดกิจการในอาณาจักรคิง เพาเวอร์

ทว่าเมื่อพิจารณาข้อมูลงบการเงินของบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด ตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นไป ก็พบว่ามีความผันผวนอยู่พอสมควรจากการขาดทุนเป็นช่วง ๆ
  • ปี 2562 บริษัทมีรายได้รวมของบริษัทคือ 38,544 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 756 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีก่อนหน้า 60.47%
  • ปี 2563 บริษัทมีรายได้รวม 8,119 ล้านบาท ลดลง 78.94% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่งผลให้บริษัทขาดทุนสุทธิกว่า 1,833 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราลดลงกว่าปีก่อนหน้าถึง 342.23% อันเป็นผลมาจากวิกฤตโควิด-19
  • ปี 2564 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 1,608 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนถึง 80.19% และยังประสบกับการขาดทุนสุทธิ 2,814 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการขาดทุนสุทธิปีก่อนหน้ายังติดลบ 51.59%
  • ปี 2565 บริษัทเริ่มมีผลประกอบการดีขึ้นโดยมีรายได้รวมสูงถึง 17,748 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 1,003% ส่งผลให้มีกําไรสุทธิอยู่ที่ 3,751 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 189.89% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แม้ว่าจะเป็นช่วงเดียวกันกับเหตุการณ์ปะทุขึ้นของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน
  • ปี 2566 บริษัทกลับมาอยู่ในจุดที่ขาดทุนอีกครั้ง แม้มีรายได้รวมสูงถึง 33,592 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตถึง 89.27% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า แต่กลับขาดทุน 651 ล้านบาท หรือติดลบ 117.36%
จากผลประกอบการข้างต้น โดยเฉพาะในปีล่าสุด ส่งผลให้ คิง เพาเวอร์ ถูกลดอันดับลงมาอยู่อันดับที่ 10 ในการจัดอันดับ 20 ธุรกิจดิวตี้ฟรีที่ทำรายได้มากที่สุดในโลกในปี 2566 โดยเดอะ มูดี้ เดวิตต์

สำหรับ บริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด จดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 26 ก.พ. 2539 ด้วยทุนจดทะเบียน 1,900 ล้านบาท โดยมีนายวิชัย ศรีวัฒนประภา เป็นผู้ก่อตั้ง

ในระหว่างปี 2540-2555 บริษัทได้รับใบอนุญาตให้ดำเนินกิจการร้านค้าปลอดภาษีและอากรทั้งในศูนย์การค้าและท่าอากาศยานหลายแห่ง ทั้งสุวรรณภูมิ ดอนเมือง รวมถึงท่าอากาศยานภูมิภาคในต่างจังหวัด เช่นที่สนามบินหาดใหญ่ ภูเก็ต และเชียงใหม่ อีกทั้งยังได้ก่อตั้งคิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ดาสน์ทาวน์ คอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นร้านค้าปลอดภาษีและอากรในกรุงเทพฯ แห่งแรก และคิง เพาเวอร์ คอมเพล็กซ์ สาขาพัทยา


ในปัจจุบัน นอกจากธุรกิจดิวตี้ฟรีแล้ว คิง เพาเวอร์ ยังมีอีกขาหนึ่งของธุรกิจคือ การบริหารพื้นที่ค้าปลีกและกิจกรรมเชิงพาณิชย์อื่น ๆ ภายในอาคารผู้โดยสารสนามบินสุวรรณภูมิ ภายใต้การบริหารของบริษัท คิง เพาเวอร์ สุวรรณภูมิ จำกัด โดยมีสัญญา 10 ปี 6 เดือน (28 ก.ย. 2563 -31 มี.ค. 2574)

คิง เพาเวอร์ เผชิญวิกฤตใดมาบ้าง ?

ท่ามกลางความท้าท้ายของคิง เพาเวอร์ ภายใต้การบริหารของผู้บริหารรุ่นลูก บริษัทก็เผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ นั้นคือ การแพร่ระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 ในช่วงปลายปี 2562 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นลูกค้าหลักของคิง เพาเวอร์

ผลจากการล็อกดาวน์อันเนื่องมาจากการควบคุมโรคระบาดในปี 2563 ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวตลอดทั้งปีอยู่ที่ 6.7 ล้านคน ลดลง 83.21% จากปีก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 39.9 ล้านคน

อีกทั้ง นักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของคิง เพาเวอร์ ลดลงเหลือ 1.2 ล้านคนในปี 2563 จาก 10.9 ล้านคนในปี 2562

นอกจากนี้ ยอดผู้โดยสารที่ใช้บริการท่าอากาศยานจากทั้ง 6 ท่าอากาศยาน คือ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, หาดใหญ่, ภูเก็ต, เชียงใหม่ และเชียงรายในปี 2563 เหลือเพียง 72.6 ล้านคน ลดลง 48.40 % เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่ 141 ล้านคน

นั่นจึงเป็นที่มาที่ ทอท. ปรับเปลี่ยนวิธีการคำนวณค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่ดิวตี้ฟรี มาเป็นผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำต่อผู้โดยสาร (Sharing Per Head) เป็นรายหัว จำนวน 233.40 บาท/หัว สำหรับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และ 127.30 บาท/หัว ในท่าอากาศยานภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่ โดยเรียกเก็บจากทั้งผู้โดยสารขาเข้าและขาเข้า แทนการจ่ายที่อัตราส่วน 20% ของรายได้ หรือการจ่ายขั้นต่ำ เมื่อ 29 ก.ค. 2563

ยกตัวอย่างการคำนวณที่ผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำที่คิง เพาเวอร์ ต้องจ่าย จากที่ต้องชำระผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำปีแรก 15,419 ล้านบาท สำหรับสัมปทานในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แต่หากคำนวณด้วยวิธีการใหม่ ในปี 2563 มีผู้ใช้บริการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิอยู่ที่ 30.7 ล้านคน คูณด้วย 233.40 บริษัทก็ต้องชำระราว 7,100 ล้านบาท แทนการจ่ายขั้นต่ำปีแรก 15,419 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นแนวทางการเยียวจากเหตุสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19

อย่างไรก็ตาม ในปี 2564 คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ก็ยังมีรายได้รวมลดลงและขาดทุน


นักท่องเที่ยวจีนซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของคิง เพาเวอร์ ลดลงเหลือ 1.2 ล้านคนในปี 2563 จาก 10.9 ล้านคนในปี 2562

นอกจากวิกฤตโควิด-19 ดังกล่าวที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของคิง เพาเวอร์แล้ว ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ จากภาครัฐ รวมทั้งสภาวะความผันผวนทางการเมืองและเศรษฐกิจของโลกก็ถูกนำมาเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ คิง เพาเวอร์ ใช้ขอยกเลิกสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรหรือดิวตี้ฟรี ในสนามบิน 5 แห่ง

เหตุผลที่คิง เพาเวอร์ อ้างประกอบด้วย
  • การหยุดดำเนินการร้านค้าปลอดอากรขาเข้าจากนโยบายภาครัฐ เมื่อเดือน ก.ค. ปี 2567
  • การขอคืนพื้นที่ประกอบกิจการของ ทอท. เมื่อ พ.ย. 2567
  • การลดภาษีสินค้าประเภทไวน์ เมื่อ มี.ค. 2568
  • การขาดมาตรการเชิงรุกของภาครัฐในการบริหารจัดการความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวส่งผลต่อการลดลงของนักท่องเที่ยวชาวจีน
  • สถานการณ์สงครามและการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
เปิดรายละเอียดสัญญา คิง เพาเวอร์ - ทอท.



ในช่วงต้นปี 2562 คิง เพาเวอร์ ชนะการประมูลจัดหาผู้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร (ดิวตี้ฟรี) ทั้ง 3 สัญญา ซึ่งมีอายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน (28 ก.ย. 2563 – 31 มี.ค. 2574) ได้แก่
  • การให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยมีเงื่อนไข ผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำปีแรก 15,419 ล้านบาท
  • การให้สิทธิประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานภูมิภาค (ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่) ด้วยเงื่อนไขผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำปีแรกที่ 2,331 ล้านบาท
  • การให้สิทธิประกอบกิจการการบริหารการจัดกิจกรรมเชิงพาณิชย์ภายในอาคารผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยเงื่อนไขผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำปีแรก 5,798 ล้านบาท
ต่อมาในช่วงปลายปี 2562 คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ก็ได้รับสัมปทานคัดเลือกผู้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง อายุสัญญา 10 ปี 6 เดือน (1 ต.ค. 2565 – 31 มี.ค. 2576) ด้วยการเป็นผู้เข้าร่วมประมูลเพียงรายเดียว และมีเงื่อนไขผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำในปีแรกที่ 1,500 ล้านบาท

เงื่อนไขการจ่ายผลตอบแทนของสัมปทานดิวตี้ฟรี ณ ท่าอาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานภูมิภาค แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ ผลตอบแทนขั้นต่ำ และส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) 20% ตลอดสัญญา 10 ปี

โดยกำหนดว่า ให้เอกชนจ่ายผลตอบแทนเป็นสัดส่วนจากเกณฑ์ใดเกณฑ์หนึ่ง แล้วแต่ตัวเลขใดจะมากกว่ากันในปีนั้น ๆ

อีกเรื่องสำคัญที่ควรทำความเข้าใจคือ การเทียบสัดส่วนรายได้ที่ ทอท. ได้รับจากกิจการดิวตี้ฟรี โดยรายงานของ ทอท. 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 (ต.ค. 2567- มี.ค. 2568) ระบุว่า รายรับจากกิจการดิวตี้ฟรี ถือเป็นส่วนหนึ่งของ 35.84% ของรายได้ทั้งหมด ในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2567 ขณะที่ 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2568 สัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นเป็น 41.07% ของรายได้ทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม สัดส่วนดังกล่าวยังมีรายได้จากกิจการอื่น ๆ รวมอยู่ด้วย คือ รายได้จากการจำหน่ายของที่ระลึก อาหารและเครื่องดื่ม บริการอาหารของสายการบิน บริการเติมน้ำมัน ที่จอดรถ โฆษณา และพื้นที่สำหรับธนาคาร เป็นต้น

นอกจากนี้ ทอท. ยังเคยเปิดเผยด้วยว่า ในไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ 2568 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,053.27 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12.64% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 5,784.59 ล้านบาท เนื่องจากการลดลงของรายได้ส่วนแบ่งผลประโยชน์จำนวน 1,200.35 ล้านบาท ซึ่งมาจากธุรกิจร้านค้าปลอดอากรเป็นหลัก

ไล่เรียงไทม์ไลน์ความพยายามเจรจาระหว่าง ทอท. และคิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี



หากย้อนไปก่อนที่จะเกิดการยื่นจดหมายขอเจรจาต่อรองยกเลิกสัมปทานทั้ง 5 สนามบินของ คิง เพาเวอร์ ในครั้งนี้ บริษัทก็เคยมีความพยายามในการติดต่อกับทาง ทอท. เพื่อแก้ไขสถานการณ์การเงินของบริษัท

นี่คือ ความเคลื่อนไหวที่สำคัญระหว่าง ทอท. และคิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ในช่วงที่ผ่านมา ดังนี้
  • พ.ย. 2563 มีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดของสัญญา โดยยืดระยะเวลาสัญญาเพื่ออนุญาตให้คิง เพาเวอร์ ประกอบกิจการร้านค้าดิวตี้ฟรี ณ ท่าอากาศยานภูมิภาค (ภูเก็ต เชียงใหม่ และหาดใหญ่) ไปจนถึงสิ้นเดือน มี.ค. ปี 2576 จากเดิมที่ต้องสิ้นสุดปี 2574
  • ส.ค. 2567 คิง เพาเวอร์ ยื่นหนังสือถึง ทอท. ขอเลื่อนการชำระค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ภูเก็ต เชียงใหม่ หาดใหญ่ และดอนเมือง ตั้งแต่เดือน ส.ค. 2567 ถึง ก.ค. 2568 รวม 12 งวด ออกไปงวดละ 18 เดือน พร้อมเงื่อนไขว่า คิง เพาเวอร์ ต้องจ่ายค่าปรับ 18% ต่อปี
  • 13 มิ.ย. 2568 คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี ยื่นขอเจรจายกเลิกสัญญาอนุญาตให้ประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ในสนามบิน 5 แห่ง
  • 16 มิ.ย. 2568 ทอท. ประชุมคณะกรรมการเพื่อศึกษาและวิเคราะห์ทางเลือกในการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากร ณ ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทอท. พร้อมตั้งคณะกรรมการศึกษา โดยคาดว่าจะได้ผลสรุปใน 60 วัน
  • 17 มิ.ย. 2568 คิง เพาเวอร์ ยื่นข้อเสนอต่อ ทอท. โดยขอลดผลประโยชน์ตอบแทนรัฐ และขอยกเว้นชำระค่าเช่าพื้นที่ดิวตี้ฟรี ในช่วงที่มีการเจรจาสัญญา
ทั้งนี้ น.ส.ปวีณา จริยฐิติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง รักษาการตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. กล่าวหลังการประชุมคณะกรรมการบริษัทว่า ทอท. ระบุว่า สัญญาเชิงพาณิชย์ยืดหยุ่น และปรับแก้เงื่อนไขได้ตามสถานการณ์ พร้อมยืนยันว่า การพิจารณาทุกทางเลือกจะต้องอยู่ภายใต้ผลประโยชน์ของ ทอท. ผู้ถือหุ้น และผลประโยชน์ของประเทศชาติ

https://www.bbc.com/thai/articles/crk6d8l5py5o