วันอังคาร, ธันวาคม 15, 2558

ตกลง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมาตรา 116 เอาไว้คุ้มครองใคร และอย่างไร




ตกลง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และมาตรา 116 เอาไว้คุ้มครองใคร และอย่างไร
....................

จากโพสต์ของ อานนท์ นำภา

11.00 น. ศาลทหารอนุญาตให้ฝากขังนายฐนกร ตอนนี้เจ้าหน้าที่นำตัวกลับเรือนจำแล้วเนื่องจากเกรงมวลชนมาสมทบ ขณะนี้ทนายความจากศูนย์ทนายฯกำลังทำเรื่องประกันตัวในวงเงิน 300,000 บาท ซึ่งเป็นเงินจากกองทุนประกันตัวพลเมืองโต้กลับ

สำหรับนายฐนกรถูกกล่าวหา 2 ข้อ ซึ่งเป็นความผิดต่อความมั่นคงคือ

ม.112 จากการกดไลค์ภาพ และจากการโพสเสียดสีคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง

ม.116 จากการแชร์ผังทุจริตราชภักดิ์ในเพจคนเสื้อแดง
ตอนนี้ทีมทนายรอฟังคำสั่งอยู่ที่ศาลทหาร
.................

ลองมาดูตัวบทกฎหมายนะครับ
1. ข้อหา ม.112 จากการกดไลค์ภาพ และจากการโพสเสียดสีคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง
.............
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 บัญญัติไว้ว่า

"ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี"

2. ข้อหา ม.116 จากการแชร์ผังทุจริตราชภักดิ์ในเพจคนเสื้อแดง

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 บัญญัติไว้ว่า
" ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต
(1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย
(2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ
(3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี "

...........

คำถามง่าย ๆ สำหรับการบังคับใช้และการตีความกฎหมายอาญานั้น จะต้องตีความอย่างเคร่งครัดตามตัวอักษร เพื่อไม่ให้ขยายผลเกินจากตัวบท ใช่หรือไม่

กรณี 112 เอาไว้ "คุ้มครอง" พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ มิใช่หรือ

ขณะที่ กรณี 116 แค่แชรผังราชภักดิ์นี่นำ ที่จำทำให้
"เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน"

ทำไมจึงต้เองอ่อนไหวและตีความเกินเลยไปเช่นนั้นได้

Thanapol Eawsakul

 


ooo

ความเห็นเพิ่มเติมจาก คุณดวงจำปา สเปนเซอร์-ไอเซนเบอร์ก 




ประเทศไทยกำลังบังคับใช้มาตรา 112 ด้วยการนำเอา "การตีความและขยายความด้วยวิธีการอันพลิกแพลง" (ไม่ใช่ความหมายตามลายลักษณ์อักษร) เพื่อประโยชน์ของบุคคลกลุ่มหนึ่ง (ซึงดิฉันขอเรียกว่า "ลูกอีช่างโยง")

-------------------------------

จริงๆ แล้ว มาตรานี้ เขียนไว้สั้นๆ คือ "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี"

ภาษาอังกฤษก็เขียนว่า "Whoever defames, insults or threatens the King, Queen, the Heir-apparent or the Regent, shall be punished with imprisonment of three to fifteen years"

มันไม่มีการ "โยง" ไปหา "บุคคลที่สาม" หรือ "วัตถุ" หรือ "สิ่งของ" แต่อย่างใด....

-------------------------------

ที่มันเปลี่ยนแปลงไป ก็เพราะว่า ทางระบบการบังคับใช้กฎหมายของไทย มาทำการ "ต่อยอด" กันเอง ทั้งๆ ที่ไม่มีอำนาจอะไรในการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาทางกฎหมาย แต่อาศัยอำนาจที่ตนเองมีอยู่ว่า "กรูเป็นใคร" ในการตีความกันแบบนั้น

-------------------------------

ถ้าจำไม่ผิด ดิฉันคิดว่า มันเริ่มตั้งปี 1995 เมื่อครั้งที่ พระองค์โสมสวลี ทรงประทับเครื่องบินการบินไทยอยู่ใน First Class แต่ท่านเปิดอ่านหนังสือ และแสงไฟไปรบกวนผู้โดยสารท่านหนึ่ง (ชาวฝรั่งเศส ชื่อคุณ Lech Tomasz Kisielewicz) ซึ่งนั่งอยู่ข้างหลัง และเมื่อคุณ Kisielewicz ทำการ complaint กับ Flight Attendant ขึ้นมาเพื่อขอให้ปิดไฟ แต่พระองค์โสมสวลีไม่ยอม ก็เลยมีเรื่องขึ้นมา และทางตำรวจไทยก็ทำการจับกุมผู้โดยสารผู้นี้ กักขังเขาอยู่หลายวัน ด้วยการตั้งข้อหาในมาตรา 112 ขึ้นมา ทั้งๆ ที่ พระองค์โสมสวลี ไม่ได้อยู่ในความคุ้มครองกับกฎหมายฉบับนี้แต่อย่างใด

แล้ว ในอีกหลายปีต่อมา พรรคไทยรักไทยของอดีตนายกฯ ทักษิณ ก็เริ่มใช้กฎหมายนี้ มาเล่นงานกับพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยการ "โยง" เอา "คำในพระราชดำรัส" ออกมาใช้ในการโฆษณาหาเสียง และก็เห็นการใช้เรื่องนี้ เพื่อกำจัดคู่แข่งทางพรรคการเมืองกันในเวลาต่อมา (อย่างที่เห็นๆ กัน ว่า ดาบสองคม มันเป็นอย่างไร)

-------------------------------

จากนั้น "การตีความ" ก็ลามไปจนถึงตอนที่ ศาลฎีกา มาตัดสินว่า การวิจารณ์กล่าวถึงกษัตริย์ตั้งแต่ รัชกาลที่ 4 ลงมาถึง รัชกาลปัจจุบัน ถือว่าเป็นการหมิ่นประมาท ทั้งๆ ที่กฎหมายเรื่องนี้ กล่าวถึงรัชกาลปัจจุบันเท่านั้น

ยังมีตัวอย่างจากเคสนี้อีกเยอะ ที่มันขยายตัวออกไปเรื่อยๆ อย่างปราศจากขอบเขต การตัดสินและความเห็นของผู้พิพากษา ยิ่งทำให้เนื้อหามันเปลี่ยนไปทุกอย่าง แม้แต่ "ยิ่งจริง ยิ่งผิด" หรือ "ยิ่งจริง ยิ่งหมิ่น" (ถ้าเรื่องที่กล่าวเป็นความจริง ก็ต้องติดคุกติดตารางกันอีก)

ขนาดมีการขีดเขียนในเงิน ธนบัตร ก็ถือว่า "หมิ่น" ? (ไม่ทราบว่า ตรรกะนี้ มันไปเกี่ยวกับการอาฆาตมาดร้ายอย่างไร)

และการใช้กฎหมายฉบับนี้ เพื่อกวาดล้างผู้คนเมื่อปีที่แล้ว และในปีนี้ด้วย

-------------------------------

ส่วนไม่นานมานี้ เหตุการณ์มันยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ในการโยงเรื่องของ อุทยานราชภักดิ์ และในครั้งล่าสุด ก็คือ สุนัขตัวหนึ่งที่ถือว่าเป็น "สุนัขทรงเลี้ยง"

และคราวหน้า ก็อาจจะลามไปถึง สุนัขของสมเด็จพระบรมฯ (ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว) หรือไม่ก็สุนัขของ สมเด็จพระเทพฯ หรือ สุนัขของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ หรือเปล่าก็ไม่ทราบได้

ถ้ามี หมู ม้า กา ไก่ หรือแมว "ทรงเลี้ยง" ป่านนี้ ก็ครอบคลุมทั้งหมดใช่หรือเปล่า?

แม้กระทั่ง ข้าวปลา อาหาร รถที่ขับ ฯลฯ

พูดง่ายๆ ก็คือ เรื่อง "ครอบจักรวาล" นั่นเอง

--------------------------------

ที่เป็นอย่างนี้ ก็เพราะ นิสัยของผู้คนซึ่งเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย หรือ ผู้มีอำนาจทางกฎหมายนั้่น กลายเป็น "ลูกอีช่างโยง" กัน ในการ "ตีความ" และ "ขยายความ" อย่างพลิกแพลง ประเภท "เกินขอบเขต, อำนาจ และ ความหมายของตัวกฎหมาย" ที่มีอยู่

ต้อง "โยง" เรื่องนี้ เรื่องนั้นเข้ามา เพื่อ "สร้าง 'ความผิด' ให้เกิดขึ้นจงได้"

เหมือนกับ ในประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งมี กฎหมายว่าด้วย ความผิดเพราะมีความสัมพันธ์กัน หรือ Guilty by Association คือ โยงมันให้ถึงกันหมดทั้งครอบครัว

ภาษากฎหมาย เรียกว่า "มีเจตน์จำนงค์" หรือ "มีความประสงค์ " หรือ "มีความจงใจ"

ทั้งๆ ที่ บุคคลที่ครอบคลุมอยู่ในกฎหมายนั้น มันมีแค่ 4 คน แต่ก็พยายามทำเรื่องของการเป็น "ลูกอีช่างโยง" จนประเทศมันจะกลายเป็น Rogue State หรือ Failed State (รัฐล้มเหลว) ทางนิติรัฐ / นิติธรรมจริงๆ

--------------------------------

ถ้าจะให้กล่าวตรงๆ ว่า Bottom Line มันคืออะไรในเรื่องแบบนี้:

มันก็คือ "ความต้องการในการสร้างผลงาน เพื่อตัว (อีช่างโยง) เองจะได้ เลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่ง" ในหน้าที่การงาน หรือ สร้างหน้าตาในสังคมจากการ "กระทืบ" คนอื่น เพื่อให้เห็นกันว่า ตนเองมีความ "จงรักภักดี" เป็นอย่างมาก

-------------------------------

แทนที่จะวิเคราะห์ตามข้อจำกัดของกฎหมายและเนื้อหา กลับพยายาม "โยง" และสร้างเรื่อง และ "ทฤษฎี" ให้มันดูเหมือนกลายเป็น "ขบวนการ" ประกอบด้วย บุคคลหลายๆ คน...

เหมือนกับไอ้ "ผังล้มเจ้า" เพราะ พวกตนเอง จะ "จับปลากันได้หลายๆ ตัว"

มันก็เท่านั้นเองใช่ไหม?

--------------------------------

อีกหน่อย ถ้ามีคนมาวิจารณ์เรื่องผลิตภัณฑ์หรือของกินของใช้ต่างๆ ที่มีคำว่า

"ทูลเกล้าฯ" , "โปรดเกล้าฯ", "ของเสวย" หรือ "ขึ้นโต๊ะเสวย" ว่า รสชาติห่วยแตก ก็อาจจะถูกโยงเข้ามาในเรื่องมาตรา 112 นี้ก็ได้

แม้กระทั่ง ผลิตภัณฑ์ข้าวของต่างๆ ที่ผลิดด้วยการประทับตรายี่ห้อ "ดอยคำ" หรือ "จิตรลดา"

(คงจำกันได้ เกี่ยวกับเรื่อง มีการขนยาเสพติด แล้วใส่ "กล่องดอยคำ" และมีการโพสต์ลงมาว่า ใครโพสต์เรื่อง "ดอยคำ" อาจจะถูกแจ้งความเรื่อง 112 ก็ได้ ทั้งๆ ที่ ไม่มีความเกี่ยวโยงกับบุคคลทั้งสี่แต่ประการใดเลย)

--------------------------------

ขนาดเรื่อง โครงการต่างๆ ที่มีการใช้เงินงบประมาณกันอย่างไม่สามารถตรวจสอบได้ โดยเฉพาะโครงการหลวง ก็ไม่สามารถพูดถึงหรือวิจารณ์ได้ว่า มีความสุจริตกันมากน้อยสักแค่ไหน

ถึงแม้่ว่าโครงการจะล้มเหลว หรือไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ไม่สามารถทำการตรวจสอบหรือวิจารณ์อะไรกันได้กับเงินงบประมาณที่จ่ายกันมาเป็นเวลานานแล้ว

--------------------------------

เคยเห็นการโพสต์ใน Facebook ที่มีการลงข้อมูลอันถูกต้อง เกี่ยวกับเรื่อง ประวัติการทำฝนเทียม ก่อนที่จะมีการกำเนิด "ฝนหลวง" ผู้โพสต์ก็ยังถูกขู่ คุกคาม และถูกด่าอย่างสาดเสียเทเสีย และต้องโดนยัดข้อหาว่า "หมิ่น" รวมทั้ง จะต้องถูกแจ้งความด้วยเรื่องพรรค์นี้กัน

ทั้งๆ ที่มีการพิสูจน์ทางบทความ และประวัติต่างๆ แล้วว่า ใครกันแน่ ที่เป็น ผู้สร้างหรือผู้ริเริ่มการผลิตฝนเทียมตัวจริง...

--------------------------------

จะไม่แปลกใจเลย ถ้ามีเหตุการณ์ร้ายแรง แบบวันมหาวิปโยค เกิดขึ้นอีก เพราะเมื่อความกดดันมันถึงที่สุดแล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้

และจะเกิดขึ้นหลังจากที่มีการเปิดตัวของ AEC ไปแล้วด้วย เพราะเราคงจะเห็นว่า "มันสมอง" จะ ไหล "เข้ามา" หรือ "ออกไป" จากประเทศไทยมากกว่ากัน....

ขนาดเรื่อง "หมาๆ" ยังโดนยัดข้อหาแบบนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า มันจะขยายความออกไปแบบนี้ได้อย่างไร...

หรือว่า ในเวลานี้ ผู้บังคับใช้กฎหมายของไทย กลายเป็น "ลูกอีช่างโยง" กันเต็มบ้านเต็มเมืองแล้วก็ไม่รู้ซิ???

Doungchampa Spencer-Isenberg