สหภาพยุโรปประจำประเทศไทย แจ้งข่าวนี้ด้วยความยินดีว่าต่อนี้ไป ไทยจะบังคับใช้ พรบ.ป้องปรามการทรมานและการทำให้สูญหาย อย่างเต็มที่ ไม่สามารถเมินเฉยต่อข้อเรียกร้องให้ทำการสอบสวนย้อนหลัง คดีการสูญหายต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นการลักพาตัว ‘ต้าร์’ วันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ไปจากอะพ้าร์ตเม้นต์ในกรุงพนมเปญ หรือการสูญหายของกลุ่มผู้ลี้ภัยในลาว ๘ คน แล้วบางคนศพมัดตราสังข์ลอยขึ้นอืดริมฝั่งโขง หรือการหายไปของทนายสมชาย นีรไพจิตร แม้กระทั่งการหายไปของศรินทิพย์ ศิริวรรณ ในอดีต
อย่างไรก็ดีมีหลายคนบอกว่า การบังคับสูญหายบุคคลที่เอ่ยอ้างไว้ข้างต้น ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่มีทางสะสางได้ ให้เพ่งเล็งเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นใหม่จะดีกว่า แม้นว่าวิธีจัดการกับผู้เห็นต่างกับการเมืองการปกครองในรัฐไทยอันมีกษัตริย์เป็นประมุข ดูจะเปลี่ยนไปแล้ว
แต่ว่ายังมีความโหดเหี้ยมที่รัฐทำกับประชาชนหมู่มาก ถึงขั้นล้มตายกันเป็นเบือ เช่นเหตุความรุนแรงสลายการชุมนุมในปี ๒๕๕๓ ก็ยังคาราคาซังไม่มีการสะสาง แม้ว่ารัฐบาลปัจจุบันจะเป็นรัฐบาลตระบัดสัตย์ข้ามขั้ว ก็ไม่ควรเป็นเหตุให้เพิกเฉยกับโศกนาฏกรรมตายหมู่
คณะญาติวีรชน-คปช.๕๓ ได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี เรียกร้องให้ “คืนความยุติธรรม” แก่ประชาชนเสียที ไหนๆ ยังอ้างตนเองอยู่เสมอว่าเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อปี ๒๕๖๖ แต่ “เราไม่เห็นการขยับตัวของรัฐบาล”
หนังสือเปิดผนึกนอกจากเรียกร้องให้แก้กฎหมาย เอาผิดทหารซึ่งละเมิดอาญาต่อประชาชน ต้องมาขึ้นศาลพลเรือน ยังเรียกร้องให้ลงนามรับอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ เข้ามาสอบสวนและดำเนินคดีเหตุการณ์ เมษา-พฤษภา ๒๕๕๓ ด้วย
“เนื่องจากกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย ไม่สามารถทำให้เกิดความยุติธรรมแก่ประชาชนคนไทยได้” ข้อความนี้มิใช่เพียงโวหารสำนวน หากแต่เป็นการกล่าวความจริง ที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ทุกเมื่อเชื่อวัน อันไม่เหมาะสมเลยกับฐานะมนตรีสิทธิมนุษยชนยูเอ็น
(https://www.facebook.com/krootida/posts/Nx7BaNSNBVJGo และ https://www.facebook.com/photo?fbid=857300186441878&set=a.300420768796492)
