Jom Petchpradab
Jom Petchpradab
2h·
“Voice tv” จากมุมมอง อดีตพิธีกรฟรีแลนซ์ ยุคบุกเบิก
ในฐานะอดีตฟรีแลนซ์ Voice tv ในยุคแรกเริ่ม ตั้งแต่เป็นพิธีกรรายการ The Intelligence และรายการ Hot Topic คนแรก ...ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ หรือช็อคอะไรกับการปิด Voice tv
เพราะแรกเริ่มแห่งการก่อกำเนิด Voice tv ขึ้นมา เริ่มจากเครือชินวัตร เห็นชัดแล้วว่า ไอทีวี ที่เข้าไปรับซื้อไว้ ไม่อาจจะหาทางจ่ายเงินให้กับสัมปทานที่ทำไว้กับรัฐได้ ทั้งสัญญาที่เอาเปรียบ บวกกับความผิดพลาดของรัฐบาลที่ทำให้เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งขึ้นมาในปี 2540 จนเกือบไม่มีธุรกิจใดยืนหยัดอยู่ได้ แต่ไอทีวี.ก็ยังต้องจ่ายเงินให้รัฐบาลตามสัญญาเดิม
อีกทั้งปัญหาทางการเมืองที่เกิดกระแสต่อต้านระบอบทักษิณอย่างรุนแรง จนนำไปสู่การทำรัฐประหาร จนถึง จุดจบไอทีวี.มาถึง เมื่อมีการทำรัฐประหารโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เผด็จการทหารจึงเข้ามายึดไอทีวี.ไปเป็นของรัฐ
ในเวลาใกล้เคียงกันบริษัทในเครือชินวัตร โดยคุณหญิงพจนมาน ชินวัตร และคุณทักษิณ ชินวัตร ได้มอบให้ คุณพานทองแท้ ชินวัตร หรือคุณโอ๊ค ลูกชายคนเดียวไปดำเนินการเปิด Voice tv คู่ขนานไปด้วยอยู่แล้ว ( เหมือนการชิมลางทดสอบความสามารถในการทำธุรกิจของคุณโอ๊ค) โดยช่วงแรกจึงมีการติดต่อทาบทามคนไอทีวี.เข้าไปศึกษาติดตั้งระบบสร้างองค์กร แต่การเปิดตัว Voice tv ช่วงแรกประกาศนโยบายชัดเจนว่า จะเป็นทีวี.ของคนรุ่นใหม่ เน้นความคิด ไอเดียที่สร้างสรรค์ แบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เน้นจะนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ สร้างแรงบันดาลใจ เพื่อความบันเทิง ศิลปะ เป็นหลัก ไม่เป็นสถานีข่าวสาร และหลีกเลี่ยงข่าวการเมืองอย่างชัดเจน
แต่เมื่อ ไอทีวี.ถูกยึดไปและแปรสภาพเป็น ไทยพีบีเอส สำเร็จ ด้วยความเห็นอกเห็นใจ เสียดายบุคลากรข่าวที่มีคุณภาพของไอทีวี. ที่ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นสื่อรับใช้ทักษิณ จนเกือบจะไม่มีช่องไหนรับเข้าทำงาน ผู้บริหาร Voice tv ขณะนั้นจึงเปิดพื้นที่ และยอมปรับเปลี่ยนนโยบายจากเดิมที่ไม่ต้องการเป็นสถานีข่าวการเมืองหนัก ๆ มาเป็น Voice tv ที่เน้นข่าวสารการเมืองมากขึ้น บวกกับ เมื่อพรรคเพื่อไทย พ้นไปจากอำนาจ ถูกอำนาจเผด็จการเล่นงาน จนกลายเป็นพรรคฝ่ายค้าน
Voice tv จึงถูกปรับเปลี่ยน เปิดพื้นที่ เพิ่มเนื้อหา มาเป็นสื่อเพื่อการต่อสู้กับเผด็จการทหาร เรียกร้องต่อสู้เพื่อคนตัวเล็กตัวน้อย ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมสำหรับคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ แต่อีกนัยหนึ่งซึ่งถือเป็นภารกิจแฝงที่สำคัญของ Voice tv นั่นก็คือการหน้าที่ต่อสู้ เป็นกระบอกเสียง เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพรรคเพื่อไทย และตระกูลชินวัตร ไปด้วยแบบกลาย ๆ อย่างเนียนๆ
จนมาถึงจุดอวสาน "Voice tv" ในวันที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ..ในเวลานี้
ที่ผมยืนยันว่า"Voice tv"มีภารกิจแฝงที่สำคัญคือการเป็นกระบอกเสียงต่อสู้ให้กับตระกูลชินวัตร ด้วยก็เพราะ รายการ Hot topic ที่ผมเป็นพิธีกรอยู่ช่วงเย็นๆ ทุกวัน ก่อนข่าวค่ำ ได้ถูกสั่งปิดรายการกระทันหัน พร้อมเลิกจ้างผมในทันทีอย่างไม่มีเบาะแส หรือพูดคุยอะไรกับผมมาก่อนเลยแม้แต่น้อย เป็นการาสั่งปิดรายการ ขณะที่ผมกำลังเตรียมตัวออกอากาศประมาณ 1 ชั่วโมง. คำอธิบายที่ได้จากผู้บริหารเวลานั้นไม่มีความชัดเจนใด ไม่มีผู้บริหารคนไหนอธิบายกับผมอย่างตรงไปตรงมา
ในฐานะเป็นฟรีแลนซ์ จึงไม่ได้โวยวายมาก เพราะเตรียมใจและเรียนรู้มาแล้วจากไอทีวี.ว่าเป้าหมายการทำธุรกิจสื่อในเครือบริษัทชินวัตรนั้น ไม่ได้ต้องการให้เป็นสถาบันสื่อเพื่อคนมืออาชีพ ทำหน้าที่เป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชนคนยากไร้คนด้อยโอกาส หรือเพื่อสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้เองที่ผมจึงทำงานที่"Voice tv"ในฐานะฟรีแลนซ์แต่เพียงเท่านั้น แม้ว่าผู้บริหาร"Voice tv"เวลานั้น พยายามคะยั้นคะยอให้ผมป็นพนักงานประจำ เพราะนอกจากจะได้เป็นพิธีกรแล้ว ยังได้ทำหน้าที่ในการบริหารช่องไปด้วย แต่ด้วยเพราะไม่มีความไว้วางใจการทำธุรกิจสื่อของเครือชินวัตรอยู่แล้วแต่ต้น
ผมมาทราบเหตุผลในไม่กี่วันต่อมา ถึงเหตุผลที่รายการ Hot Topic ถูกปิดอย่างกระทันหัน ก็เพราะว่า ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน มีผู้บริหาร Voice tv ได้เดินทางไปพบ คุณทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกง และคุณทักษิณได้เปรยขึ้นกับผู้บริหาร Voice tv ว่ารายการที่ผมทำอยู่มักจะเปิดพื้นที่ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นศัตรูทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทยอยู่บ่อยๆ หรือแม้แต่นักวิชาการ หรือสัมภาษณ์ข้าราชการที่ต่อต้านระบอบทักษิณมาก่อน ซึ่งพอคณะผู้บริหาร Voice tv ชุดดังกล่าวกลับมาถึงไทยก็รีบดำเนินการปิดรายการที่ผมทำอยู่ทันที โดยไม่มีวี่แววหรือไม่มีเค้าลางอะไรมาก่อนเลย
ดังนั้น ปิด Voice tv จึงไม่ได้สร้างความรู้สึกอะไรกับผม นอกจากเสียใจกับน้อง ๆ หลายคนที่ต้องตกงานเริ่มหางานกันใหม่ แต่ในขณะที่พรรคเพื่อไทยยังคงอยู่ในอำนาจเป็นรัฐบาล คงจะพอหาช่องทางโอกาสได้อยู่ไม่มากก็น้อย
แต่ต้องบอกว่า “โล่งใจ” กับการที่ Voice tv ต้องปิดตัวไป นั่นก็คือจะได้หมดความรำคาญกับ “ตรรกะป่วยๆ” ของบรรดา นายแบกนางแบกเสียที ...
2h·
“Voice tv” จากมุมมอง อดีตพิธีกรฟรีแลนซ์ ยุคบุกเบิก
ในฐานะอดีตฟรีแลนซ์ Voice tv ในยุคแรกเริ่ม ตั้งแต่เป็นพิธีกรรายการ The Intelligence และรายการ Hot Topic คนแรก ...ไม่ได้รู้สึกแปลกใจ หรือช็อคอะไรกับการปิด Voice tv
เพราะแรกเริ่มแห่งการก่อกำเนิด Voice tv ขึ้นมา เริ่มจากเครือชินวัตร เห็นชัดแล้วว่า ไอทีวี ที่เข้าไปรับซื้อไว้ ไม่อาจจะหาทางจ่ายเงินให้กับสัมปทานที่ทำไว้กับรัฐได้ ทั้งสัญญาที่เอาเปรียบ บวกกับความผิดพลาดของรัฐบาลที่ทำให้เกิดวิกฤติต้มยำกุ้งขึ้นมาในปี 2540 จนเกือบไม่มีธุรกิจใดยืนหยัดอยู่ได้ แต่ไอทีวี.ก็ยังต้องจ่ายเงินให้รัฐบาลตามสัญญาเดิม
อีกทั้งปัญหาทางการเมืองที่เกิดกระแสต่อต้านระบอบทักษิณอย่างรุนแรง จนนำไปสู่การทำรัฐประหาร จนถึง จุดจบไอทีวี.มาถึง เมื่อมีการทำรัฐประหารโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เผด็จการทหารจึงเข้ามายึดไอทีวี.ไปเป็นของรัฐ
ในเวลาใกล้เคียงกันบริษัทในเครือชินวัตร โดยคุณหญิงพจนมาน ชินวัตร และคุณทักษิณ ชินวัตร ได้มอบให้ คุณพานทองแท้ ชินวัตร หรือคุณโอ๊ค ลูกชายคนเดียวไปดำเนินการเปิด Voice tv คู่ขนานไปด้วยอยู่แล้ว ( เหมือนการชิมลางทดสอบความสามารถในการทำธุรกิจของคุณโอ๊ค) โดยช่วงแรกจึงมีการติดต่อทาบทามคนไอทีวี.เข้าไปศึกษาติดตั้งระบบสร้างองค์กร แต่การเปิดตัว Voice tv ช่วงแรกประกาศนโยบายชัดเจนว่า จะเป็นทีวี.ของคนรุ่นใหม่ เน้นความคิด ไอเดียที่สร้างสรรค์ แบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เน้นจะนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ เทคโนโลยีใหม่ สร้างแรงบันดาลใจ เพื่อความบันเทิง ศิลปะ เป็นหลัก ไม่เป็นสถานีข่าวสาร และหลีกเลี่ยงข่าวการเมืองอย่างชัดเจน
แต่เมื่อ ไอทีวี.ถูกยึดไปและแปรสภาพเป็น ไทยพีบีเอส สำเร็จ ด้วยความเห็นอกเห็นใจ เสียดายบุคลากรข่าวที่มีคุณภาพของไอทีวี. ที่ถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นสื่อรับใช้ทักษิณ จนเกือบจะไม่มีช่องไหนรับเข้าทำงาน ผู้บริหาร Voice tv ขณะนั้นจึงเปิดพื้นที่ และยอมปรับเปลี่ยนนโยบายจากเดิมที่ไม่ต้องการเป็นสถานีข่าวการเมืองหนัก ๆ มาเป็น Voice tv ที่เน้นข่าวสารการเมืองมากขึ้น บวกกับ เมื่อพรรคเพื่อไทย พ้นไปจากอำนาจ ถูกอำนาจเผด็จการเล่นงาน จนกลายเป็นพรรคฝ่ายค้าน
Voice tv จึงถูกปรับเปลี่ยน เปิดพื้นที่ เพิ่มเนื้อหา มาเป็นสื่อเพื่อการต่อสู้กับเผด็จการทหาร เรียกร้องต่อสู้เพื่อคนตัวเล็กตัวน้อย ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมสำหรับคนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ แต่อีกนัยหนึ่งซึ่งถือเป็นภารกิจแฝงที่สำคัญของ Voice tv นั่นก็คือการหน้าที่ต่อสู้ เป็นกระบอกเสียง เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับพรรคเพื่อไทย และตระกูลชินวัตร ไปด้วยแบบกลาย ๆ อย่างเนียนๆ
จนมาถึงจุดอวสาน "Voice tv" ในวันที่พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล ..ในเวลานี้
ที่ผมยืนยันว่า"Voice tv"มีภารกิจแฝงที่สำคัญคือการเป็นกระบอกเสียงต่อสู้ให้กับตระกูลชินวัตร ด้วยก็เพราะ รายการ Hot topic ที่ผมเป็นพิธีกรอยู่ช่วงเย็นๆ ทุกวัน ก่อนข่าวค่ำ ได้ถูกสั่งปิดรายการกระทันหัน พร้อมเลิกจ้างผมในทันทีอย่างไม่มีเบาะแส หรือพูดคุยอะไรกับผมมาก่อนเลยแม้แต่น้อย เป็นการาสั่งปิดรายการ ขณะที่ผมกำลังเตรียมตัวออกอากาศประมาณ 1 ชั่วโมง. คำอธิบายที่ได้จากผู้บริหารเวลานั้นไม่มีความชัดเจนใด ไม่มีผู้บริหารคนไหนอธิบายกับผมอย่างตรงไปตรงมา
ในฐานะเป็นฟรีแลนซ์ จึงไม่ได้โวยวายมาก เพราะเตรียมใจและเรียนรู้มาแล้วจากไอทีวี.ว่าเป้าหมายการทำธุรกิจสื่อในเครือบริษัทชินวัตรนั้น ไม่ได้ต้องการให้เป็นสถาบันสื่อเพื่อคนมืออาชีพ ทำหน้าที่เป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชนคนยากไร้คนด้อยโอกาส หรือเพื่อสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้เองที่ผมจึงทำงานที่"Voice tv"ในฐานะฟรีแลนซ์แต่เพียงเท่านั้น แม้ว่าผู้บริหาร"Voice tv"เวลานั้น พยายามคะยั้นคะยอให้ผมป็นพนักงานประจำ เพราะนอกจากจะได้เป็นพิธีกรแล้ว ยังได้ทำหน้าที่ในการบริหารช่องไปด้วย แต่ด้วยเพราะไม่มีความไว้วางใจการทำธุรกิจสื่อของเครือชินวัตรอยู่แล้วแต่ต้น
ผมมาทราบเหตุผลในไม่กี่วันต่อมา ถึงเหตุผลที่รายการ Hot Topic ถูกปิดอย่างกระทันหัน ก็เพราะว่า ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน มีผู้บริหาร Voice tv ได้เดินทางไปพบ คุณทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกง และคุณทักษิณได้เปรยขึ้นกับผู้บริหาร Voice tv ว่ารายการที่ผมทำอยู่มักจะเปิดพื้นที่ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นศัตรูทางการเมืองกับพรรคเพื่อไทยอยู่บ่อยๆ หรือแม้แต่นักวิชาการ หรือสัมภาษณ์ข้าราชการที่ต่อต้านระบอบทักษิณมาก่อน ซึ่งพอคณะผู้บริหาร Voice tv ชุดดังกล่าวกลับมาถึงไทยก็รีบดำเนินการปิดรายการที่ผมทำอยู่ทันที โดยไม่มีวี่แววหรือไม่มีเค้าลางอะไรมาก่อนเลย
ดังนั้น ปิด Voice tv จึงไม่ได้สร้างความรู้สึกอะไรกับผม นอกจากเสียใจกับน้อง ๆ หลายคนที่ต้องตกงานเริ่มหางานกันใหม่ แต่ในขณะที่พรรคเพื่อไทยยังคงอยู่ในอำนาจเป็นรัฐบาล คงจะพอหาช่องทางโอกาสได้อยู่ไม่มากก็น้อย
แต่ต้องบอกว่า “โล่งใจ” กับการที่ Voice tv ต้องปิดตัวไป นั่นก็คือจะได้หมดความรำคาญกับ “ตรรกะป่วยๆ” ของบรรดา นายแบกนางแบกเสียที ...