หญิงสาวผู้อ่านแถลงการณ์ภาษาเยอรมันจนถูกฟ้องคดี 112
Ravisara Eksgool
13h
ตอนเด็กๆ ใครๆ ก็รู้ว่าเราเป็นคนหัวไม่ดี สมัยก่อนเวลาได้รับผลสอบมาชอบเอามาให้คนที่บ้านทายว่าสอบได้ที่เท่าไหร่ ทุกคนต้องทายจากเลข 30 เป็นต้นไปทุกที เราจำได้ว่าตอนนั้นพ่อสอนท่องสูตรคูณแม่ 7 สอนยังไงก็ท่องไม่ได้จนร้องไห้ ทุกวันนี้ก้ยังท่องไม่ได้ แถมดันได้อยู่ห้องเดียวกับหลานครูใหญ่ที่ครูทุกคนต่างประคบประหงม ส่วนเราโดนตีประจำเพราะทำการบ้านผิด
โตมาหน่อยพอเข้ามัธยมต้น อยู่ๆก็สอบติดโรงเรียนที่เขาว่ากันว่าดีที่สุดในจังหวัด ซึ่งก็แน่นอน เราก็สงสัยว่าติดได้ยังไง แต่ก็ได้เข้ามาอยู่ในห้องบ๊วย ห้องเด็กจับฉ่ายไม่มีความเป็นเลิศทางวิชาการอะไรทั้งนั้น มารู้ทีหลังว่าแม่ใช้เงินเก็บยัดให้เราเข้ามา เราเกลียดวิชาแนะแนวเป็นที่สุดเพราะครูชอบกดดัน จากที่รู้สึกโง่อยู่แล้วยิ่งรู้สึกต่ำเตี้ยไปใหญ่ ครูชอบพารุ่นพี่จากเตรียมอุดมมาเล่าประสบการณ์อะไรให้ฟังไม่รู้ ฟังแล้วก็กดดันว่าชั้นต้องสอบให้ติดเตรียมสินะถึงจะไม่โดนถมถุยแบบนึ้อีก
สอบครั้งแรกไม่ติด สอบครั้งที่สองก็ไม่ติด
วันที่ผลสอบออก ตอนนั้นเขาให้เราส่ง sms เพื่อเช็คผลสอบได้ ข้อความตอบมาว่าไม่ติด ตอนนั้นหงอยมาก วันรุ่งขึ้นเลยฝากให้เพื่อนไปดูลำดับที่สอบติดได้ที่โรงเรียน เพื่อนโทรกลับมาบอกว่า
“มึง กูหาเลขมึงไม่เจอว่ะ”
“มึงจะหาไม่เจอได้ไง มึงลองดูอีกรอบแล้วโทรมาใหม่นะ”
ผ่านไปแปปนึงเพื่อนก็โทรมาใหม่
“มึงงงงอีเหี้ยยยยมึงได้ที่ 61!!!” (เค้ารับ 60 คน)
“เอ้าาาาแล้วทำไมเมื่อกี้มึงหาไม่เจอ”
“อ๋อ กูดูจากลำดับ 65 ลงไป”
ตอนเข้าเตรียมได้ก็คิดว่ามหากาพย์การพิสูจน์ตัวเองจะจบแล้ว แต่อันที่จริงมันเหมือนเป็นแค่จุดเริ่มต้น เพราะใครๆก็เก่ง ส่วนเราไม่มีอะไรติดสมองมาเลยซักอย่างนอกจากสกิลภาษาเยอรมันแบบงูๆปลาๆ เพราะแม่ส่งไปเรียนเกอเธ่มาปีกว่าแล้ว
ตอนอยู่ม.ปลาย เราเห็นเพื่อนหลายต่อหลายคนได้ไปแลกเปลี่ยนที่เยอรมัน กลับมาแล้วเก่งมากกันทุกคน ครูส่งไปตอบคำถามวิชาการตลอด ส่วนเราทำได้แค่แสดงละครเวที ร้องเพลง รู้สึกตั้งแต่ตอนนั้นว่าชั้นอยากมาเรียนต่อที่เยอรมันกับเขาบ้างจัง
Ravisara Eksgool
13h
ตอนเด็กๆ ใครๆ ก็รู้ว่าเราเป็นคนหัวไม่ดี สมัยก่อนเวลาได้รับผลสอบมาชอบเอามาให้คนที่บ้านทายว่าสอบได้ที่เท่าไหร่ ทุกคนต้องทายจากเลข 30 เป็นต้นไปทุกที เราจำได้ว่าตอนนั้นพ่อสอนท่องสูตรคูณแม่ 7 สอนยังไงก็ท่องไม่ได้จนร้องไห้ ทุกวันนี้ก้ยังท่องไม่ได้ แถมดันได้อยู่ห้องเดียวกับหลานครูใหญ่ที่ครูทุกคนต่างประคบประหงม ส่วนเราโดนตีประจำเพราะทำการบ้านผิด
โตมาหน่อยพอเข้ามัธยมต้น อยู่ๆก็สอบติดโรงเรียนที่เขาว่ากันว่าดีที่สุดในจังหวัด ซึ่งก็แน่นอน เราก็สงสัยว่าติดได้ยังไง แต่ก็ได้เข้ามาอยู่ในห้องบ๊วย ห้องเด็กจับฉ่ายไม่มีความเป็นเลิศทางวิชาการอะไรทั้งนั้น มารู้ทีหลังว่าแม่ใช้เงินเก็บยัดให้เราเข้ามา เราเกลียดวิชาแนะแนวเป็นที่สุดเพราะครูชอบกดดัน จากที่รู้สึกโง่อยู่แล้วยิ่งรู้สึกต่ำเตี้ยไปใหญ่ ครูชอบพารุ่นพี่จากเตรียมอุดมมาเล่าประสบการณ์อะไรให้ฟังไม่รู้ ฟังแล้วก็กดดันว่าชั้นต้องสอบให้ติดเตรียมสินะถึงจะไม่โดนถมถุยแบบนึ้อีก
สอบครั้งแรกไม่ติด สอบครั้งที่สองก็ไม่ติด
วันที่ผลสอบออก ตอนนั้นเขาให้เราส่ง sms เพื่อเช็คผลสอบได้ ข้อความตอบมาว่าไม่ติด ตอนนั้นหงอยมาก วันรุ่งขึ้นเลยฝากให้เพื่อนไปดูลำดับที่สอบติดได้ที่โรงเรียน เพื่อนโทรกลับมาบอกว่า
“มึง กูหาเลขมึงไม่เจอว่ะ”
“มึงจะหาไม่เจอได้ไง มึงลองดูอีกรอบแล้วโทรมาใหม่นะ”
ผ่านไปแปปนึงเพื่อนก็โทรมาใหม่
“มึงงงงอีเหี้ยยยยมึงได้ที่ 61!!!” (เค้ารับ 60 คน)
“เอ้าาาาแล้วทำไมเมื่อกี้มึงหาไม่เจอ”
“อ๋อ กูดูจากลำดับ 65 ลงไป”
ตอนเข้าเตรียมได้ก็คิดว่ามหากาพย์การพิสูจน์ตัวเองจะจบแล้ว แต่อันที่จริงมันเหมือนเป็นแค่จุดเริ่มต้น เพราะใครๆก็เก่ง ส่วนเราไม่มีอะไรติดสมองมาเลยซักอย่างนอกจากสกิลภาษาเยอรมันแบบงูๆปลาๆ เพราะแม่ส่งไปเรียนเกอเธ่มาปีกว่าแล้ว
ตอนอยู่ม.ปลาย เราเห็นเพื่อนหลายต่อหลายคนได้ไปแลกเปลี่ยนที่เยอรมัน กลับมาแล้วเก่งมากกันทุกคน ครูส่งไปตอบคำถามวิชาการตลอด ส่วนเราทำได้แค่แสดงละครเวที ร้องเพลง รู้สึกตั้งแต่ตอนนั้นว่าชั้นอยากมาเรียนต่อที่เยอรมันกับเขาบ้างจัง
พออยู่อักษรปี 3 พี่สาวเราก็ได้ทุน DAAD ทุนเดียวกันกับทึ่เราได้นี่แหละ มาเรียนสาขาเดียวกันเลย ฤดูร้อนปีนั้นเราฝึกงานแล้วเก็บเงินไว้เพื่อซื้อตั๋วไปเยี่ยมพี่ในฤดูหนาวปีเดียวกัน
Osnabrück เป็นเมืองเล็กๆ ที่เราไม่เคยชอบเพราะมันไม่มีอะไร ตอนที่ได้ไปเยี่ยมพี่สาว พี่พาไปงานฉลองคริสต์มาส ไปเจอเพื่อนๆ ที่เป็นเด็กทุนเหมือนกัน ตอนนั้นเพื่อนพี่สาวทุกคนก็ถามว่าทำไมเธอไม่มาเรียนทึ่นึ่ล่ะ เก่งภาษาเยอรมันขนาดนี้ ตอนนั้นเราก็ได้แค่ตอบว่ายังเรียนไม่จบ ไว้จบแล้วค่อยว่ากัน ในใจคิดว่าคนพวกนี้เท่ชะมัด อยากเก่งให้ได้แบบเขาจัง
เราคิดเสมอว่าถ้าได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แล้วจะได้ปลดล็อกสกิลภาษาเยอรมันแบบขั้นสูงสุด ก็เลยรอไป 2 ปีกว่าเพราะไม่มั่นใจ จนพี่สาวก็ถามว่าเมื่อไหร่มึงจะสมัครวะ มึงเหมาะกับโปรแกรมนี้ที่สุดแล้ว ตอนนั้นก็เลยสมัครแบบไม่ได้คิดอะไร ผลคือได้ทุน
วันที่เราได้กลับมานั่งคุยกับเพื่อนในห้องเดิมในปาร์ตี้คริสมาสต์กับที่เคยมาปาร์ตี้วันคริสต์มาสเมื่อเกือบ 5 ปีที่แล้ว ตอนที่เราเห็นรูปเราในเว็บไซต์มหาลัยอยู่ใกล้ๆ กับรูปพี่สาวตัวเอง ในใจตอนนั้นมันรู้สึกทั้งปลื้มทั้งภูมิใจในตัวเองที่ในที่สุดก็ทำได้จริงๆ
เราไม่ได้โง่อย่างที่เราคิดว่าคนอื่นมองว่าเราโง่นี่นา
เรากำลังสนุกกับการเรียน ชอบการเอาประเด็นต่างๆ ของบ้านเราไปเล่าให้เพื่อนฟัง เราเพิ่งเริ่มชินกับการใช้ชีวิตที่นี่ เพิ่งได้เริ่มมั่นใจในสกิลภาษาเยอรมันที่เปรียบเสมือนสมบัติชิ้นเดียวของตัวเอง เพิ่งได้เริ่มสนิทสนมกับเพื่อนที่นี่ ทุกอย่างกำลังไปได้สวย
วันนี้เรากลับต้องเก็บข้าวของ ยัดชีวิตทั้งชีวิตไว้ในกระเป๋าเดินทาง 1 ใบ ของที่เหลือที่ฝากเพื่อนไว้ จักรยาน ต้นไม้ ไม่รู้เลยว่าจะได้มีโอกาสกลับมาเจอมันอีกไหม ต้องคืนกุญแจห้องที่เราชอบ และเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อไปขึ้นศาล เพื่อนทุกคนถามว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ เราตอบเขาไม่ได้เลย…
ต่อให้รู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องกลับ แต่ก็อดคิดไม่ได้ทุกทีว่าแล้วเราไปทำอะไรให้เขานักหนาเขาถึงต้องมาพรากอะไรจากเราไปมากมายขนาดนี้
ถึงศาลที่เคารพ หากท่านยังมีความน่าเคารพนับถืออยู่
ขออนาคตของเราและเพื่อนผู้บริสุทธิ์คนอื่นๆ คืนด้วยเถอะค่ะ
Osnabrück เป็นเมืองเล็กๆ ที่เราไม่เคยชอบเพราะมันไม่มีอะไร ตอนที่ได้ไปเยี่ยมพี่สาว พี่พาไปงานฉลองคริสต์มาส ไปเจอเพื่อนๆ ที่เป็นเด็กทุนเหมือนกัน ตอนนั้นเพื่อนพี่สาวทุกคนก็ถามว่าทำไมเธอไม่มาเรียนทึ่นึ่ล่ะ เก่งภาษาเยอรมันขนาดนี้ ตอนนั้นเราก็ได้แค่ตอบว่ายังเรียนไม่จบ ไว้จบแล้วค่อยว่ากัน ในใจคิดว่าคนพวกนี้เท่ชะมัด อยากเก่งให้ได้แบบเขาจัง
เราคิดเสมอว่าถ้าได้มาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่แล้วจะได้ปลดล็อกสกิลภาษาเยอรมันแบบขั้นสูงสุด ก็เลยรอไป 2 ปีกว่าเพราะไม่มั่นใจ จนพี่สาวก็ถามว่าเมื่อไหร่มึงจะสมัครวะ มึงเหมาะกับโปรแกรมนี้ที่สุดแล้ว ตอนนั้นก็เลยสมัครแบบไม่ได้คิดอะไร ผลคือได้ทุน
วันที่เราได้กลับมานั่งคุยกับเพื่อนในห้องเดิมในปาร์ตี้คริสมาสต์กับที่เคยมาปาร์ตี้วันคริสต์มาสเมื่อเกือบ 5 ปีที่แล้ว ตอนที่เราเห็นรูปเราในเว็บไซต์มหาลัยอยู่ใกล้ๆ กับรูปพี่สาวตัวเอง ในใจตอนนั้นมันรู้สึกทั้งปลื้มทั้งภูมิใจในตัวเองที่ในที่สุดก็ทำได้จริงๆ
เราไม่ได้โง่อย่างที่เราคิดว่าคนอื่นมองว่าเราโง่นี่นา
เรากำลังสนุกกับการเรียน ชอบการเอาประเด็นต่างๆ ของบ้านเราไปเล่าให้เพื่อนฟัง เราเพิ่งเริ่มชินกับการใช้ชีวิตที่นี่ เพิ่งได้เริ่มมั่นใจในสกิลภาษาเยอรมันที่เปรียบเสมือนสมบัติชิ้นเดียวของตัวเอง เพิ่งได้เริ่มสนิทสนมกับเพื่อนที่นี่ ทุกอย่างกำลังไปได้สวย
วันนี้เรากลับต้องเก็บข้าวของ ยัดชีวิตทั้งชีวิตไว้ในกระเป๋าเดินทาง 1 ใบ ของที่เหลือที่ฝากเพื่อนไว้ จักรยาน ต้นไม้ ไม่รู้เลยว่าจะได้มีโอกาสกลับมาเจอมันอีกไหม ต้องคืนกุญแจห้องที่เราชอบ และเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อไปขึ้นศาล เพื่อนทุกคนถามว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ เราตอบเขาไม่ได้เลย…
ต่อให้รู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องกลับ แต่ก็อดคิดไม่ได้ทุกทีว่าแล้วเราไปทำอะไรให้เขานักหนาเขาถึงต้องมาพรากอะไรจากเราไปมากมายขนาดนี้
ถึงศาลที่เคารพ หากท่านยังมีความน่าเคารพนับถืออยู่
ขออนาคตของเราและเพื่อนผู้บริสุทธิ์คนอื่นๆ คืนด้วยเถอะค่ะ