วันอังคาร, มีนาคม 28, 2566

9 ปี จากการทำรัฐประหารของ คสช. 2557 นี่หรือ แผ่นดินงดงามที่คืนกลับมา


Wiroj Lakkhanaadisorn - วิโรจน์ ลักขณาอดิศร
11h

[ 20 เหตุการณ์ ที่ต้องตั้งคำถามกับตัวเอง นี่หรือ แผ่นดินงดงามที่คืนกลับมา ]
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
จากการทำรัฐประหารของ คสช. ในปี พ.ศ.2557 จนปัจจุบันเวลาได้ล่วงเลยมา 9 ปีแล้ว
.
หลายๆ คน คงยังจำเนื้อเพลงของคณะรัฐประหาร ท่อนที่ร้องว่า “เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน แล้วแผ่นดินที่งดงาม จะคืนกลับมา” ได้ เพราะเปิดกรอกหู ล้างสมองประชาชนอยู่ทุกวัน
.
เมื่อ 9 ปีก่อน ใครจะคิดว่าแผ่นดินที่งดงามที่เขาบอก จะอยู่ในสภาพอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ และนี่คือ 20 เหตุการณ์ ที่ผมอยากชวนให้ทุกท่านย้อนรำลึกถึง และตั้งคำถามร่วมกันว่า “นี่มันเป็นแผ่นดินที่งดงามที่เราอยากได้จริงๆ หรือ”
.
เรื่องที่ 1: ยาบ้าราคาเหลือแค่เม็ดละ 5 บาท ถูกกว่ามาม่า หาได้เกลื่อนประเทศ แถมยังมีกัญชามอมเมาเยาวชนถึงในรั้วโรงเรียน ในขณะที่ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง กลับถูกละเลยให้มีราคาแพง จนเกษตรกรขาดทุน ยิ่งทำยิ่งมีแต่หนี้สิน
.
เรื่องที่ 2: ประเทศถูกยึดโดยมาเฟียทุนจีนสีเทา ธุรกิจนอมินีผิดกฎหมาย ทั้งแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ยาเสพติด บ่อนเถื่อน เว็บพนันออนไลน์ การค้ามนุษย์ ฟอกเงิน ขายสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ธุรกิจเหล่านี้ภาษีสักบาทก็ไม่เคยเสีย ไม่รู้สึกแปลกใจหรือครับ นายกฯ เป็นถึงหัวหน้าคณะรัฐประหาร มี ม.44 มี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีหน่วย กอ.รมน. ที่สามารถแกะรอยผู้ชุมนุมแบบตามตัวได้ถึงบ้าน มีคดีฟ้อง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ประชาชนเต็มไปหมด แต่ไม่สามารถแกะรอยปราบปรามแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ และเว็บพนันออนไลน์ได้อย่างเป็นรูปธรรม นายกฯ เรียกคนที่เห็นต่างไปปรับทัศนคติได้ แต่ทำไมถึงปล่อยให้พ่อค้ายาบ้าอหังการได้ถึงขนาดนี้
.
เรื่องที่ 3: มาเฟียทุนจีนสีเทา ใช้ประเทศไทยเป็นแหล่งฟอกเงิน ปั่นราคาค่าเช่าตึกจากหลักหมื่น เป็นหลักแสน เอาสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์มาขาย จนผู้ประกอบการไทยสู้ค่าเช่าไม่ไหว ค้าขายขาดทุน ทยอยปิดกิจการไปเรื่อยๆ
.
เรื่องที่ 4: แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์ ก็สามารถโทรหาประชาชนได้ทั่วประเทศ เพราะมีตำรวจ และเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนหนึ่ง ขายข้อมูลของประชาชนให้ แถมร่ำลือกันว่ามีตำรวจใหญ่ระดับนายพัน นายพล เป็นลูกสมุนให้กับแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์จีนสีเทาเหล่านี้ แก๊งค์คอลเซ็นเตอร์เหล่านี้อำมหิตมาก เพราะเป้าหมายของพวกมันคือ ผู้สูงอายุ มีปู่ย่าตายายหลายคน ต้องสูญเงินก้อนสุดท้ายที่ทำมาหากินโดยสุจริต เก็บหอมรอบริบมาทั้งชีวิต จนต้องกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวยามบั้นปลาย
.
เรื่องที่ 5: มาเฟียทุนจีนสีเทา ที่มีประวัติการบริจาคเงิน 3 ล้านบาทให้กับพรรคการเมืองขั้วรัฐบาลพรรคหนึ่ง แล้วอยู่ดีๆ ก็ได้สัญชาติไทยมาได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นคนไทยแท้ๆ นั่งรถจาก จ.เชียงราย มาตามหาแม่ที่ จ.บุรีรัมย์ เพื่อให้แม่พาไปทำบัตรประชาชน กลับทำบัตรประชาชนไม่ได้ โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าหน้าตาไม่เหมือน
.
เรื่องที่ 6: ตำรวจจำนวนไม่น้อย มีพฤติกรรมรีดไถเก็บส่วยเพื่อเอาไปวิ่งเต้นซื้อตำแหน่ง พอได้เลื่อนยศเป็นใหญ่เป็นโต ก็กำเริบเสิบสานก่อกรรมทำเข็ญไม่ต่างจากโจร จนตำรวจที่ดีท้อแท้หมดกำลังใจทยอยขอลาออก ตั้งแต่ผู้กำกับที่นครสวรรค์คลุมถุงดำฆ่าผู้ต้องหา ตำรวจ (ร่วมกับทหาร และ DSI) เรียกรับส่วยเพื่อปล่อยตัวผู้ต้องหาขบวนการวีซ่าปลอมทุนจีนสีเทา ตำรวจ ตม. 110 นาย มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำวีซ่าให้กับกลุ่มมาเฟียทุนจีนสีเทา ตำรวจ สน. ห้วยขวาง ตั้งด่านรีดไถนักท่องเที่ยวดาราชาวไต้หวัน 27,000 บาท แก๊งค์พนันออนไลน์ที่มีตำรวจตั้งแต่ระดับผู้กอง สารวัตร จนถึงนายพล เข้าไปมีเอี่ยวเกี่ยวข้อง
.
นี่ยังไม่นับตำรวจที่มีพฤติกรรมโจรอุ้มรีดไถชาวจีน ตั้งด่านรีดไถประชาชนทั้งๆ ที่ก็รู้ดีว่าช่วงโควิดประชาชนทุกข์ยากลำบากขนาดไหน ที่ จ.กาฬสินธุ์ ประชาชนที่ประสบอุบัติเหตุมาแจ้งความหวังหนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่กลับถูกซ้ำเติมเรียกเอาเงิน 50,000 บาท ล่าสุดก็มีตำรวจไปรีดไถผู้ต้องหาคดียาบ้า 500,000 บาท เพื่อแลกกับการไม่ดำเนินคดี ดาบตำรวจที่ สภ.คลองห้า ก็ตกเป็นผู้ต้องหาข่มขืนนักศึกษา
.
เรียกได้ว่าปัจจุบัน ประชาชนแทบจะแยกไม่ออกแล้วว่าไหนตำรวจ ไหนโจร ตำรวจที่ดีก็ได้แต่ท้อแท้ ทำอะไรไม่ได้นอกจากทนเห็นเกียรติภูมิของตำรวจตกต่ำลงไปทุกวัน
.
เรื่องที่ 7: 8-9 ปี ที่ผ่านมา เวลาโรงพยาบาลต้องการเครื่องมือแพทย์ ต้องวิ่ง ต้องว่ายน้ำ ขอบริจาค โรงเรียนต้องการอุปกรณ์การเรียนการสอนที่จำเป็น ผอ. ต้องจัดผ้าป่าขอเรี่ยไรจากผู้ปกครอง แต่กองทัพอยากจะได้เรือดำน้ำ เครื่องบินรบ กลับได้งบประมาณครบทุกบาททุกสตางค์ ประเทศไทยมีเด็กที่ครอบครัวอยู่ใต้เส้นความยากจนมากถึง 1.3 ล้านคน ที่เสี่ยงหลุดออกจากระบบทางการศึกษา ถ้ามีงบแค่ 4,000 ล้านบาทต่อปี ก็จะทำให้เด็กเหล่านี้ได้เรียนหนังสือได้ครบทุกคน แต่ก็ไม่จัดงบให้ แต่กลับเงินที่จะเอาไปซื้ออาวุธ และปรนเปรอกองทัพ ไม่ว่ารจะเป็น การจัดซื้อรถถังจีน 7 พันล้านบาท รถถังยูเครน 7.2 พันล้านบาท เครื่องบิน VIP 8.7 พันล้านบาท จัดซื้อรถเบนซ์ S500 อ้างว่าเอามาให้นายพลควบคุมสั่งการ 100 ล้านบาท (ทั้งๆ ที่กระทรวงกลาโหม มีการจ่ายค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหาให้กับรถประจำตำแหน่งให้กับเหล่านายพลแล้วถึง 550 ล้านบาทต่อปี (กองทัพบก 240 ล้านบาท กองทัพเรือ 116 ล้านบาท กองทัพอากาศ 75 ล้านบาท กองทัพไทย 71 ล้านบาท สำนักปลัดฯ 52 ล้านบาท) จากงบทั้งหมดทุกกระทรวงรวมกัน 788 ล้านบาท เรือดำน้ำ 22,500 ล้านบาท เครื่องบิน F-35 13,800 ล้านบาท GT-200 1.1 พันล้านบาท กลับจ่ายได้อย่างหน้าตาเฉย ที่สมควรถูกประณามที่สุด ก็คือ การกล้าเอาเครื่องบินรบ F-16 มาบินโฉบในพิธีลอยกระดูกของนายพลทหารอากาศ โดยอ้างว่าเป็นเรื่องที่รุ่นน้องให้เกียรติรุ่นพี่ แต่กลับเอาเงินภาษีของประชาชนมาจ่ายค่าน้ำมันเครื่องบินรบ
.
เรื่องที่ 8: #กราดยิงโคราช #กราดยิงหนองบัวลำภู สารวัตรคลั่งทีสายไหม จนล่าสุดมาถึง #กราดยิงเพชรบุรี ทุกเหตุการณ์ ล้วนเกี่ยวพันกับอาชีพทหาร และตำรวจ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกดขี่ เก็บส่วยรีดไถ หรือไม่ก็ยาเสพติด โศกนาฏกรรมเหล่านี้ ล้วนทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิต แต่ที่ผ่านมารัฐบาลไม่เคยคิดที่จะแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ถ้ายังไม่มีการปฏิรูปกองทัพ ไม่ปฏิรูปตำรวจ โศกนาฏกรรมในทำนองนี้ก็ไม่วายต้องเกิดขึ้นอีก คนที่รับกรรมก็มีแต่ประชาชน
.
เรื่องที่ 9: นโยบายทวงคืนผืนป่า ที่ขับไล่ประชาชนให้ออกไปจากที่ดิน ที่พวกเขาทำมาหากินมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย เอาแผนที่ทหารที่มีความละเอียดต่ำ 1 ต่อ 50,000 มาใช้เป็นเครื่องมือขับไล่ประชาชน ในขณะที่การจัดทำแผนที่ One Map ที่มีความละเอียด 1 ต่อ 4,000 ที่สามารถพิสูจน์สิทธิให้กับประชาชนได้อย่างเป็นธรรม กลับไม่มีความคืบหน้า 8-9 ปีที่ผ่านมามีการดำเนินคดีกับประชาชนไปกว่า 46,000 คดี ทำประชาชนสูญสิ้นที่ดินทำกินของตัวเอง ในขณะที่ที่ดินราชพัสดุที่ครอบครองโดยกองทัพมีมากถึง 7.5 ล้านไร่ กลับปล่อยปละละเลย ให้กองทัพเอาไปทำธุรกิจโดยขาดความโปร่งใสในการจ่ายค่าเช่าให้กับกรมธนารักษ์ หลังเหตุการณ์ #กราดยิงโคราช อดีต ผบ.ทบ. ได้ให้คำมั่นเอาไว้ว่าจะทำ MOU กับกรมธนารักษ์ เพื่อปฏิรูปกองทัพ ล้างบางธุรกิจทหารภายใน 100 วัน แต่จนถึงปัจจุบันก็ไม่มีความคืบหน้า
.
ประชาชนคนไทยที่ไปเข้าคิวขอที่ดิน ส.ป.ก. ก็ไม่เคยที่จะถึงคิว ที่ดิน ส.ป.ก. หลายแปลง ตกอยู่ในเงื้อมมือของนายทุน ที่เอานอมินีมาสวมสิทธิ ที่ดินที่ควรจัดสรรให้คนไทยทำกิน ไม่ยอมเร่งทำ กลับไปสมคบคิดที่จะออกกฎหมายขายชาติ เปิดช่องให้ทุนจีนสีเทา เอาเงิน 40 ล้านบาท มาดองออกดอกเพียงแค่ 3 ปี ก็จะมีสิทธิซื้อที่ดินได้ 1 ไร่ โดยไม่มีกลไกในการเรียกเก็บภาษี ทั้งภาษีซื้อ ภาษีขาย ภาษีที่ดิน และภาษีมรดก แถมยังมีเสียงสนับสนุนอันแสนอัปยศมาจากนายทุนออกมาสำทับอีกด้วยว่า “อย่างน้อยคนไทยก็จะได้มีอาชีพดูแลบ้านให้กับชาวต่างชาติ”
.
เรื่องที่ 10: จากค่าไฟฟ้าในปี พศ. 2557 ที่มีราคาเพียง 3.71 บาทต่อหน่วย ก็ปรับขึ้นมาเรื่อยๆ จนปัจจุบันอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย และในเดือน พ.ค. 65 ที่จะถึงนี้ ก็ปรับขึ้นอีกเป็น 4.77 บาทต่อหน่วย 8-9 ปีที่ผ่านมามีแต่นายทุนโรงไฟฟ้าที่รวยมหาศาลหลายแสนล้าน ในขณะที่ประชาชนคนไทยทุกคนกลับถูกรีดไถผ่านบิลค่าไฟอยู่ทุกเดือน รัฐบาลให้สัมปทานโรงไฟฟ้าที่เกินจำเป็นทำไม ปกติประเทศต่างๆ เขาสำรองไฟฟ้าไว้เพียง 15% ก็พอ แต่นี่สำรองไว้ถึง 55% มีโรงไฟฟ้าตั้ง 8-9 แห่ง ไม่ได้เดินเครื่องเลยแม้แต่วันเดียว แต่กลับต้องเอาเงินหลายหมื่นล้านไปจ่ายให้กับนายทุนโรงไฟฟ้าเสือนอนกิน แล้วก็มาหารเฉลี่ยเก็บค่าไฟจากประชาชนไม่ว่าจะยากดีมีจนทุกครัวเรือน ก๊าซธรรมชาติราคาถูกที่ผลิตได้จากอ่าวไทย แทนที่จะเอามาผลิตไฟฟ้าก่อน ก็เอาไปขายให้กับนายทุนปิโตรเคมีก่อน ค่าไฟฟ้าที่แพงหูฉีก นอกจากจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนแล้ว ยังเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศอีกด้วย ใครเขาจะมาลงทุนในประเทศที่ค่าไฟแพงเกือบ 5 บาทต่อหน่วย สู้ไปลงทุนที่เวียดนาม (ประมาณ 2.8 บาทต่อหน่วย) หรืออินโดนีเซีย (ประมาณ 3.4 บาทต่อหน่วย) ที่ค่าไฟถูกกว่าไม่ดีกว่าหรือ พอการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศเป็นไปอย่างจำกัด การถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ๆ ก็ไม่เกิดขึ้น การจ้างแรงงานทักษะสูงก็หดหาย โอกาสที่ลูกหลานเราจะได้งานทำดีๆ รายได้งามๆ ก็ลดลงตามไปด้วย
.
เรื่องค่าไฟแพง ประชาชนจำนวนมากก็มักจะตั้งคำถามว่า นายกรัฐมนตรีจะเข้าใจความทุกข์ร้อนของประชาชนได้อย่างไร ในเมื่อนายกฯ อยู่บ้านหลวง น้ำไฟใช้ฟรี ไม่ต้องเสียภาษี ขนาดกินกาแฟพรีเมี่ยมแก้วละ 120 บาท ยังคิดว่า 20 บาท อยู่เลย สะท้อนว่านายกฯ อาจจะไม่เคยที่จะควักเงินจ่ายเงินซื้อของเอง เลยอาจจะไม่รู้ว่าราคาข้าวของแพงขนาดไหนแล้ว
.
เรื่องที่ 11: ปล่อยให้นายทุนค้าปลีก ค้าส่ง และนายทุนเครือข่ายมือถือ 2 ราย ควบรวมผูกขาด โดยที่รัฐบาลทำเบลอปล่อยผ่าน ให้นายทุนกินรวบ ไม่พยายามที่จะออกมาปกป้องประชาชนในฐานะผู้บริโภคเลย
.
หันกลับมามอง SMEs ที่ผ่านมา SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ยากมากๆ แถมยังต้องแบกรับอัตราดอกเบี้ยที่สูง แม้ว่า กขค. จะมีประกาศบังคับใช้เครดิตเทอม 30-45 วัน แต่ในทางปฏิบัติลูกค้าที่เป็นกลุ่มทุนใหญ่ยังคงดึงเช็คผู้ประกอบการรายย่อย โดยไม่มีการบังคับใช้กฎหมาย ซ้ำร้ายกฎหมายลิขสิทธิ์ที่มีอยู่ ก็ไม่สามารถปกป้องธุรกิจขนาดเล็ก จากการถูกลอกเลียนแบบของกลุ่มทุนใหญ่ได้ ในขณะที่ต่างประเทศมี Startups ที่เป็นระดับยูนิคอร์นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับประเทศไทย โอกาสที่ธุรกิจขนาดเล็กจะตั้งตัวเติบโตได้ นั้นถือว่ายากมากๆ
.
เรื่องที่ 12: ปล่อยปละละเลยฝุ่น PM2.5 รู้ทั้งรู้ว่าสาเหตุหลักของปัญหาเกิดจากนายทุนโรงน้ำตาล นายทุนอาหารสัตว์ มีการใช้เกษตรพันธสัญญา ทั้งเอาเปรียบเกษตรกร และไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ทำให้เกิดการเผาไร่อ้อย และเผาตอซังข้าวโพด ทั้งในประเทศไทย และประเทศเพื่อนบ้าน รู้ทั้งรู้ว่าต้นตอของปัญหามาจากความโลภของนายทุน แต่รัฐบาลก็คิดจะแก้กฎหมาย หรือออกมาตรการใดๆ ในการจัดการกับนายทุนเหล่านี้ ปล่อยปละละเลยให้ฝุ่น PM2.5 ทำลายสุขภาพ ให้ประชาชนตายผ่อนส่งไปเรื่อยๆ กร่นด่าสาปแช่งอยู่ทุกปี ก็ไม่เคยคิดจะแก้ไขอะไรที่เป็นรูปธรรม
.
เรื่องที่ 13: ทั้งๆ ที่การส่งออก เป็นเครื่องจักรทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย แต่ 8-9 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยกลับมีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่สัญญาเพียงแค่ 18 ประเทศเท่านั้น ในขณะที่ อินโดนีเซียมี 61 ประเทศ มาเลเซียมี 56 ประเทศ และเวียดนามมี 53 ประเทศ การมี FTA ที่จำกัดแบบนี้ ทำให้ผู้ส่งออกมีต้นทุนการส่งออกที่สูงขึ้น และมีขีดความสามารถในการแข่งขันในประเทศปลายทางลดลง สภาพแบบนี้จะดึงดูดให้ต่างประเทศเขามาลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ทันสมัยในประเทศไทยได้อย่างไร
.
ประเทศไทยมีปริมาณเงินลงทุนไหลเข้าโดยเฉลี่ยลดลงอย่างต่อเนื่อง จากที่เคยอยู่ในสัดส่วน 3.23% ของ GDP ปัจจุบันเหลือเพียง 1.83% ของ GDP ในช่วงทศวรรษ 2000 เมื่อเทียบกับ 5 ประเทศในกลุ่มอาเซียน (ไทย, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย) ในช่วงปี พ.ศ. 2544-2548 ไทยเคยมีสัดส่วนของการดึงดูด FDI สูงถึง 44% ของเงินลงทุนโดยตรงทั้งหมดในภูมิภาคอาเซียน แต่ในช่วงปี พ.ศ. 2559-2561 กลับลดเหลือเพียง 14% เท่านั้น
.
เรื่องที่ 14: ใครๆ ก็ทราบว่า “การท่องเที่ยว” ก็ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องจักรทางเศรษฐกิจที่สำคัญอย่างมาก แต่กลับปล่อยปละให้มีนายทุนจีนสีเทา ใช้นอมินีเข้ามายึดครองโรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร รถทัวร์ และกิจการการท่องเที่ยวต่างๆ ภายในประเทศ มีทัวร์ศูนย์เหรียญเต็มไปหมด ทำให้ประชาชนคนไทยได้เพียงเศษเงินจากการท่องเที่ยวเท่านั้น ในขณะที่เม็ดเงินส่วนใหญ่รั่วไหลออกนอกประเทศ หนำซ้ำยังปล่อยปละละเลยให้ Online Travel Agency มาครอบงำกินรวบ กดขี่ ให้ธุรกิจโรงแรมของไทยต้องตกเป็นเบี้ยล่าง โดยที่ Online Travel Agency เหล่านี้ ไม่ได้เสียภาษีรายได้นิติบุคคลให้กับประเทศไทย เลยสักบาท
.
นอกจากนี้ยังปล่อยปละให้ธุรกิจแพล็ตฟอร์มเดลิเวอรี่ คิดค่า GP เอาเปรียบร้านอาหารของคนไทย เปลี่ยนสัญญาไปมาเอาเปรียบไรเดอร์ โดยไม่มีกฎหมายควบคุม ให้มีความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
.
เรื่องที่ 15: การจัดเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพเป็นเรื่องที่รัฐบาลควรทำอยู่แล้ว แต่ทำไมการจัดเก็บภาษีถึงมีความลักลั่น กับพ่อค้าแม่ขายตัวเล็กๆ ที่เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง” กลับถูกเร่งรัดจัดเก็บภาษี ในขณะที่นายทุนอสังหาริมทรัพย์ นายทุนสุรา กลับสามารถเอาที่ดินติดห้างใจกลางเมือง มาซอยย่อยให้บริษัทลูกถือครอง แล้วเอามาทำการเกษตรบังหน้า ปลูกกล้วย ปลูกมะนาว เพื่อหลบเลี่ยงการจ่ายภาษีที่ดิน ที่ดินติดห้างมีโฉนดแท้ๆ แต่กลับทำเหมือนเป็นที่ดิน ส.ป.ก. หนำซ้ำภาษีป้ายก็ปล่อยปละให้กลายเป็นธุรกิจมาเฟีย สามารถจัดเก็บรายได้เข้าระบบได้เพียง 30% เท่านั้น ปล่อยไปได้
.
เรื่องที่ 16: ความตกต่ำที่เกิดขึ้นกับกระบวนการยุติธรรมไทย เริ่มตั้งแต่อัยการสั่งไม่ฟ้องลูกเศรษฐีหนีคดี ที่ขับรถชนเจ้าหน้าที่ตำรวจจนเสียชีวิต ผู้พิพากษา คณากร เพียรชนะ ยิงตัวตายเนื่องจากถูกแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ พล.ต.ต. ปวีณ พงศ์สิรินทร์ ที่ทำคดีค้ามนุษย์โรฮิงญาอย่างตรงไปตรงมา ต้องขอลี้ภัยที่ประเทศออสเตรเลีย ความเสื่อมในกระบวนการยุติธรรมเสื่อมลงมาเรื่อยๆ จนถึงจุดต่ำสุด กับกรณีการถอนหมายจับ ส.ว.ทรงเอ ที่ถูกตำรวจตั้งข้อหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด ทำให้ประชาชนจำนวนมากตั้งคำถามกับศาลว่า เดี่ยวนี้ศาลตกต่ำถึงขนาดปกป้องผู้ต้องหาในคดียาเสพติด แล้วหรือ? ตกลงแล้วผู้บริหารศาลสามารถแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษาได้แล้วหรือ? ตกลงผู้ต้องหาคดียาเสพติดรอด แต่กับตำรวจที่ออกหมายจับกลับถูกดำเนินคดีแทน อย่างนั้นหรือ?
.
นี่ยังไม่นับกรณีแหวนแม่ นาฬิกาเพื่อน ที่ไม่มีการดำเนินคดีใดๆ และวาทกรรม “มันคือแป้ง” ของคนที่เป็นรัฐมนตรีอีกนะครับ
.
เรื่องที่ 17: 8-9 ปีที่ผ่านมา การแก้ไขประมง รัฐบาลมุ่งแต่จะปลดใบเหลืองของ EU เท่านั้น แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับ “ความยั่งยืนอย่างสมดุล” เลย มีชาวประมงต้องถูกจับดำเนินคดีนับ 10,000 ราย เสียค่าปรับนับพันล้านบาท หลายร้อยรายต้องติดคุกแทนค่าปรับ หลายคนต้องเจ็บป่วยเสียชีวิต หลายคนต้องฆ่าตัวตาย ต้องมีหนี้สินล้นพ้นตัว เรือที่เป็นทรัพย์สินกลายเป็นเศษไม้เศษเหล็ก จอดทิ้งไว้หลายร้อยลำ ทำความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศถึง 1,121,552.75 ล้านบาท ทำลายวิถีชีวิต วัฒนธรรม และอุตสาหกรรมการทำประมงของไทยในทุกวันนี้
.
เรื่องที่ 18: จากการระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมา ที่มีผู้เสียชีวิตสูงถึง 30,000 คน สาเหตุหลักสาเหตุหนึ่ง มาจากระบบการหาเตียง และส่งต่อผู้ป่วย ที่ขาดประสิทธิภาพ แต่ปัจจุบันแทนที่รัฐบาลจะถอดบทเรียน และเร่งปรับปรุงระบบการหาเตียง และส่งต่อผู้ป่วย ระหว่างโรงพยาบาลต่างสังกัด ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รัฐบาลกลับปล่อยปละละเลย ไม่ได้มีเการปรับปรุงระบบในการหาเตียง และการส่งต่อผู้ป่วย อย่างเป็นรูปธรรมเลย ถ้าในอนาคตหากมีโรคระบาดเกิดขึ้นอีก ประชาชนก็ไม่แคล้วที่จะต้องล้มตาย เป็นใบไม้ร่วงเหมือนเดิม เป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ว่า “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี” เป็นเพียงโซ่ตรวนในการขัดขวางการพัฒนาประเทศ ไม่สามารถใช้ในการวางแผนรับมือกับความท้าทายของโลกอนาคตได้เลย
.
เรื่องที่ 19: เอาแต่แจกบัตรคนจน ยิ่งแจกคนจนยิ่งเพิ่ม จาก 11.4 ล้านคน เป็น 14.6 ล้านคน คนยากจนจริงๆ กลับไม่ได้บัตร ตกหล่นถึง 46% ในขณะที่คนอยากจนแต่ไม่จนแต่ได้บัตรมีถึง 78% ร้านค้าที่ได้ประโยชน์ก็มีแต่ร้านที่รับบัตรคนจนเท่านั้น ในขณะที่ร้านชำอื่นๆ ที่อยู่ข้างเคียง กลับต้องได้รับผลกระทบค้าขายไม่ได้
.
เรื่องที่ 20: เมื่อปี พ.ศ. 2557 ภายใต้การบริหารงานของนายกรัฐมนตรี 28 คน มีภาระหนี้สาธารณะรวมกันอยู่ที่ 5.53 ล้านล้านบาท แต่ภายใต้การบริหารงานของนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 คนเดียว ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นถึง 5.16 ล้านล้านบาท (ณ 20 มี.ค. 66) จนปัจจุบันประเทศไทยมีหนี้สาธารณะสูงถึง 10.69 ล้านล้านบาท และมีสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพี เพิ่มขึ้นจาก 45.91% เป็น 61.62% นายกฯ คนที่ 29 คนเดียว ก่อหนี้เทียบเท่ากับนายกฯ 28 คน รวมกัน แถมยังมีไอเดียบรรเจิดต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็น เอายางพาราไปขายดาวอังคาร มะนาวแพงให้ปลูกมะนาวไว้กินเอง อาหารทะเลแพงให้เฉพาะคนรวยกิน ให้ปลูกหมามุ่ยแทนข้าว แนะชาวนาสุโขทัยถ้าน้ำท่วมก็ให้เลี้ยงปลาแทน สวดมนต์ไล่พายุ ผักชีแพงให้ทหารปลูกผักชีในค่ายทหาร รถบรรทุกจะหยุดวิ่งให้รถทหารวิ่งแทน
.
ทั้ง 20 เหตุการณ์ ที่หยิบยกขึ้นมา ล้วนเป็นข้อสังเกตที่ชวนขบคิดได้ว่า 8-9 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลนี้เอาแต่โอบอุ้มนายทุน ปรนเปรอแต่เครือข่ายอุปถัมภ์ โดยไม่คิดแยแสประชาชนคนตัวเล็กตัวน้อย ยิ่งบริหาร ยิ่งทำให้สังคมมีความเหลื่อมล้ำเพิ่มมากขึ้น ประชาชนได้แต่เพียงเศษเนื้อข้างเขียง ถูกบีบให้จนแล้วแจก กดให้สิ้นหวังแล้วปกครอง ปล่อยให้ป่วยแล้วรักษา ใช้ภาษีที่รีดมาสร้างบุญคุณ นี่หรือแผ่นดินที่งดงาม ที่พวกมันคืนกลับมาให้กับเรา
,
ระยะเวลา 9 ปี ที่ผ่านมา มันนานพอที่จะทำให้เด็ก ป.6 ที่มีอายุ 12 ปี กลายเป็นผู้ใหญ่ในวัย 21 ปี นานพอที่จะทำให้ผู้ใหญ่อายุ 51 ปี กลายเป็นคนเกษียณในวัย 60 ปี
.
มนุษย์ไม่ได้มีชีวิตที่นิรันดร์ วัยที่เปลี่ยนไป ความฝันก็เปลี่ยนไปตามสังขารที่ร่วงโรยตามกาลเวลา ในช่วงเวลา 9 ปี ที่ผ่านมา ลองไตร่ตรองดูดีๆ มีคนที่เรารู้จักอยู่ไม่น้อยต้องลาจากโลกนี้ไปตามกฎของธรรมชาติ
.
จาก 14 ตุลา 16 มา 6 ตุลา 19 มา พฤษภาทมิฬ 35 จนมาถึง สงกรานต์เลือด 52 และราชประสงค์ 53 มาถึงวันนี้ คนที่มีอายุ 25 ปี ที่กำลังอยู่ในวัยหนุ่มสาวที่เต็มไปด้วยความฝันในวันนั้น ปัจจุบันก็ร่วงโรย แก่ตัวลงกลายเป็นคนในวัย 75 ปี 72 ปี 56 ปี 39 ปี และ 38 ปี ตามลำดับ กลุ่มอำนาจนิยมรู้ดีว่าเวลาจะค่อยๆ พรากเอาสังขารของเราไปเรื่อยๆ พวกเขาจึงมักจะเอาคำว่า “ปฏิรูป” และการขอเวลามาสร้างวาทกรรมหลอกประชาชนอยู่เสมอ จากเดิมหลังเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 พล.อ.สงัด ชลออยู่ ก็มีวาทกรรมว่า “ขอเวลา 4 ปี สร้างชาติใหม่ ปฏิรูปกองทัพ ประชาชน และเศรษฐกิจ” มาปี พ.ศ. 2557 ก็มีวาทกรรม “ขอเวลาอีกไม่นาน แล้วแผ่นดินที่งดงามจะคืนกลับมา”
.
คนเหล่านี้ทราบดีว่า ขอเพียงยื้อเวลาออกไปเรื่อยๆ เดี๋ยวความยากจน และสภาพปากกัดตีนถีบ ก็จะทำให้คนในวัยหนุ่มสาวสิ้นหวังไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นคนในวัยชราที่หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต แล้วก็ทยอยจากโลกนี้ไปเรื่อยๆ ในขณะที่เด็กรุ่นใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมา ก็จะถูกปิดหูปิดตา จากหลักสูตรการศึกษาที่ไม่ยอมให้เด็กได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์แห่งความบอบช้ำเหล่านี้ แล้วกลุ่มอำนาจนิยมก็จะกดขี่กินรวบประเทศนี้ไปได้เรื่อยๆ จากรุ่นสู่รุ่น จากยุคสู่ยุค
.
พอรัฐบาลพลเรือนบริหารบ้านเมือง กำลังเข้ารูปเข้ารอย เศรษฐกิจกำลังเติบโตไปได้ดี ปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นบ้าง ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะคลี่คลายด้วยกลไกตามระบอบประชาธิปไดย อยู่ดีๆ กลุ่มอำนาจนิยมก็จะสร้างเหตุการณ์เอามาเป็นเหตุในการก่อรัฐประหาร พอรัฐประหารเสร็จ ก็จะแบ่งเค้กให้สัมปทานกับกลุ่มทุนเครือข่ายอุปถัมภ์ ให้กินรวบทรัพยากรของประเทศ จากเดิม ก็สัมปทานสุรา แล้วก็มาสัมปทานโทรคมนาคม จนปัจจุบันมาถึงสัมปทานโรงไฟฟ้า พอบริหารบ้านเมืองต่อไปไม่ไหว ก็จะเปิดดีลโยนเผือกร้อนกลับมาให้รัฐบาลพลเรือน โดยอ้างว่าคืนอำนาจให้ประชาชน แต่จริงๆ แล้ว ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เพียงแต่กลุ่มอำนาจนิยมเหล่านี้จำแลงแปลงกายเป็นปรสิตเชื้อโรคแฝงกายเอาไว้กับพรรคการเมืองที่มีดีลกับพวกมันเท่านั้น พอเวลาผ่านไปสักพักก็จะก่อรัฐประหารอีก กินรวบอีก พอไปไม่ไหว เห็นความฉิบหายจวนตัวเข้ามา ก็จะเปิดดีลกระโดดหนีแล้วไปแฝงกายกลับเป็นปรสิตอีก เป็นอย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น
.
การเลือกตั้งที่จะถึงนี้ จึงเป็นการเลือกตั้งที่สำคัญอย่างมาก เพราะถ้าเราเลือกด้วยความกลัว เลือกด้วยยุทธศาสตร์อะไรก็แล้วแต่ที่หวังเพียงจะแก้ปัญหาปากท้องอย่างฉาบฉวย โดยเอาปัญหาบ้านเมืองไปซุกอยู่ใต้พรมเหมือนเดิม ก็อาจจะหมายถึงความสูญเปล่า ที่จะทอดเวลายาวออกไปอีก 4 ปี จากความสิ้นหวัง 9 ปี ก็อาจจะกลายเป็นความสิ้นหวังถึง 13 ปี และวงจรอุบาทว์เดิมๆ ก็จะหมุนวนไปเรื่อยๆ กับสังขารของเราที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลา กับเด็กๆ ที่เกิดขึ้นมาในประเทศที่เป็นเหมือนเดิม เหมือนกับเกิดมาใช้กรรม เวียนซ้ำหลายชาติภพ
.
14 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้ อย่าปล่อยให้ใครมาปล้นเวลาของพวกเราไปได้อีก ออกไปเปลี่ยนแปลงประเทศของพวกเราร่วมกัน เพื่อคืนโอกาสให้กับตัวเราเอง พร้อมกับคืนความฝัน และความหวังให้กับลูกหลาน กันนะครับ
.
#การเมืองดีปากท้องดีมีอนาคต
#กาก้าวไกลประเทศไทยไม่เหมือนเดิม
Note: ขอบคุณรูปภาพจากประชาไท (โหลดจาก flickr.com)
.
ผลิตโดย วิโรจน์ ลักขณาอดิศร
พรรคก้าวไกล