นอกจากค่าฝุ่น พีเอ็ม ๒.๕ สูงเข้าขีดอันตรายอีกครั้งเมื่อสองอาทิตย์ที่แล้วในพื้นที่ทั่วกรุงเทพฯ วานนี้ (๒๖ มีนา) ที่เชียงราย “ติดอันดับ ๑ เมืองที่มีมลพิษมากที่สุดของไทย ค่า PM 2.5 สูงถึง ๔๙๙ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร”
ย้อนไปดูเมื่อ ๑๒ กุมภา ๖๒ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศจะแก้ปัญหาฝุ่นอย่างยั่งยืน “สั่งการ ครม.ไปแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม” ตอนนั้นรูปธรรมที่เห็นเป็นการฉีดละอองน้ำขึ้นฟ้าเพื่อให้เกาะฝุ่นตกลงมา ถึงสมัย ‘ชัชชาติ’ ฉีดบ้าง แล้วยอมรับว่าไม่ได้ผล
เพราะปัญหาฝุ่นจิ๋ว ซึ่งอธิบดีกรมอนามัยบอกว่า “หากได้รับฝุ่นในปริมาณมากในระยะยาวจะทำให้เกิดการอักเสบภายในร่างกาย และทำลายระบบต่างๆ ในเซลล์ปอด ทำให้เกิดโรคทั้งระบบหัวใจและหลอดเลือด และมะเร็ง”
นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย ระบุค่าเฉลี่ยฝุ่นจิ๋วที่แม่สาย เชียงราย ๔๘๐ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรนั้น “สูงกว่าค่ามาตรฐานเฉลี่ย ๒๔ ชั่วโมงของประเทศไทย ๙ เท่า และสูงกว่าคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก ๓๒ เท่า”
เมื่อวานซืน (๒๕ มีนา) ข่าวเวิร์คพอยท์แจ้งว่า เว็บไซต์ Iqair.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่รายงานคุณภาพอากาศและจัดอันดับเมืองใหญ่ที่มีมลพิษทั่วโลก รายงานว่าจังหวัดเชียงใหม่ ขึ้นแท่นอันดับ ๑ เป็นหัวเมืองที่มีค่ามลพิษทางอากาศสูงที่สุด”
นอกจากนี้ยังพบอีก ๑๑ จังหวัดภาคเหนือ-อีสาน “ได้แก่ เชียงราย น่าน พะเยา แพร่ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน บึงกาฬ หนองคาย นครพนม” ล้วนมีค่าเฉลี่ยฝุ่นจิ๋วสูง “อยู่ในระดับที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ (มากกว่า ๙๑ ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร)”
“วิธีแก้ที่ต้นตอ” ซึ่งประยุทธ์ผายลมทางปากไว้เมื่อปี ๖๒ ว่าสาเหตุจากการเผาไร่นาและไร่อ้อย เนื่องเพราะเครื่องไม้เครื่องมือเก็บเกี่ยวราคาแพง ต้อง “เร่งตัดแล้วเผา” และ “หามาตรการที่ยอมรับได้เป็นระยะๆ แก้ทุกปัญหา ไม่ใช่แก้ปัญหาครั้งเดียวแล้วเสร็จสิ้น”
เหล่านั้นถ้าทำแล้วก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า หรือไม่ก็สักแต่พูด ไม่ได้ทำ คำที่พูดเป็นละอองลอยล่องปะปนไปกับฝุ่นพีเอ็ม ๒.๕ นานแล้ว อาจลอยไปถึงเชียงใหม่ เชียงรายก็ได้นะ
(https://www.facebook.com/NewsWorkpoint/posts/kKwQPC9o2DTj, https://www.facebook.com/TheOpenerThailand/posts/t1qrLhUXxhgCk และ https://www.thairath.co.th/news/politic/1494615?optimize=a)
