วันศุกร์, สิงหาคม 14, 2563
พวกหน้าไหว้หลังหลอก : ธงชัยถามตรงๆ พวกที่เรียกร้องให้จัดการกับนักศึกษาด้วยข้อหาล่วงเกินสถาบันฯ "ท่านเคยนินทา ประชด เสียดสี จาบจ้วง ถึงเจ้าในการคุยกับเพื่อนฝูงและคนในครอบครัวหรือไม่" - ตอบมา !!!
ธงชัย วินิจจะกูล: “ชาติ” แบบหน้าไหว้หลังหลอกไม่ใช่อนาคตที่เยาวชนต้องการ
2020-08-13
ที่มา ประชาไท
มีคนพูดกันมากแล้วว่าสิ่งที่นักศึกษาพูดเมื่อวันที่ 10 สิงหาอยู่ในกรอบและเป็นการแสดงความเห็นอย่างสุจริตใจ (ขอบคุณพรรคก้าวไกลและคุณจาตุรนต์ ฉายแสงเป็นพิเศษ) มีคนพูดแล้วว่ามหาวิทยาลัยควรมีจุดยืนที่จะปกป้องเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออก ไปไกลที่สุดเท่าที่สังคมขณะนั้นยอมได้ ไม่ควรกลัวความคิดที่แหวกกรอบแตกต่าง และต้องปกป้องนักศึกษาจากการคุกคามของรัฐให้มากที่สุด (ขอบคุณ อ.ยุกติ มุกดาวิจิตรเป็นพิเศษในข้อนี้)
ผมเห็นด้วยกับความเห็นเช่นนั้นทั้งหมด
ผมอยากฝากให้เราท่านทั้งหลายช่วยพิจารณาอีกประเด็นหนึ่งซึ่งยังไม่มีคนพูดถึงกันนัก ประเด็นนี้มิได้เกี่ยวกับเจ้ามากเท่ากับเกี่ยวกับพวกเราทุกคน
ผมอยากถามเราท่านทุกคนในสังคมไทยที่เป็นผู้ใหญ่ผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุกคนที่เรียกร้องให้จัดการกับนักศึกษาด้วยข้อหาล่วงเกินสถาบันฯ
ผมอยากถามท่านว่า ท่านเคยนินทา ประชด เสียดสี จาบจ้วง ถึงเจ้าในการคุยกับเพื่อนฝูงและคนในครอบครัวหรือไม่
ในหมู่นักวิชาการที่ศึกษาเรื่องไทยรู้กันดีว่า พฤติกรรมนี้พบเห็นได้ในหมู่คนไทยทั่วไปโดยเฉพาะชนชั้นกลางและชนชั้นสูงใน 20-30 ปีที่ผ่านมาแทบทุกกลุ่มอาชีพ นี่เป็นวัฒนธรรมชาวกรุงของไทยทั่วไปมาตลอดหลายสิบปี ผมขอเสริมอีกว่า คนที่นินทาเกี่ยวกับเจ้าอย่างแรงๆ มักเป็นคนที่สรรเสริญเยินยอเจ้าแบบสุดลิ่มทิ่มประตูในทางสาธารณะ ในพิธีการต่างๆ หรือแม้กระทั่งในการแสดงความจงรักภักดีประจำวันเพื่อให้คนอื่นเห็น (It is a performance!)
พฤติกรรมเช่นนี้แหละสะท้อนความเป็นไทยอย่างถึงแก่น เพราะหมายถึงการหลอกตัวเองและช่วยกันหลอกคนอื่นๆ สังคมไทยเต็มไปด้วยสมาชิก “สมาคมหน้าไหว้หลังหลอก” เพื่อการอยู่รอด
พฤติกรรมเช่นนี้ยังสะท้อนวัฒนธรรมอยู่เป็น ซึ่งหมายถึงการสอพลอคนที่สูงกว่าตน แต่เหยียดและผลักความผิดไปให้คนที่ต่ำกว่าตน สังคมไทยเต็มไปด้วยสมาชิก “สมาคมสอพลอ” เพื่อแสวงหาอภิสิทธิ์ใส่ตัวและเพื่อเขยิบสถานะทางสังคม
ความผิดที่นักศึกษาถูกกล่าวหาอยู่ในขณะนี้ มักจะกล่าวกันในเชิงกฎหมายมาตราโน้นนี้ กฎหมายมีไว้เพื่อสร้างวินัยระเบียบสังคม ผมเคยอธิบายในที่อื่นแล้วว่าจารีตและระบบกฎหมายของไทยสร้างอภิสิทธิ์ชน กล่าวอย่างถึงที่สุด ข้อหาละเมิดดูหมิ่นโน่นนี่ที่กล่าวหานักศึกษานั้น ไม่ใช่เพื่อความมั่นคงอะไรหรอก เพราะสถาบันกษัตริย์ของไทยมั่นคงแข็งแรงดีราวภูเขาทอง ไม่ล้มง่ายๆ หรอก
แต่จุดประสงค์ของกฎหมายเพื่อความมั่นคงเหล่านั้นคือการควบคุมระเบียบสังคมแบบที่เป็นอยู่ (ซึ่งมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี”) ใช้กฎหมายเพื่อควบคุมและสร้างพลเมืองที่คุ้นเคยและเข้าร่วมระเบียบสังคมประจบสอพลอหน้าไหว้หลังหลอก (ซึ่งมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “ความเป็นไทย”) รุ่นแล้วรุ่นเล่า
ด้านหนึ่ง ระบบกฎหมายของไทยค้ำจุนอภิสิทธิ์ชน หลายคนมีอภิสิทธิ์อยู่เหนือกฎหมาย ที่สำคัญที่สุดคืออภิสิทธิ์ลอยนวลพ้นความผิด แต่อีกด้านหนึ่ง กฎหมายที่จะบังคับใช้กับประชาชน คนชั้นล่างและคนอ่อนแอ รวมถึงเยาวชนหัวแข็งที่คิดนอกกรอบ ก็เพื่อบังคับสร้างพฤติกรรมของพวกเขา ซึ่งรวมถึงว่าจะนินทาเจ้าอย่างไร ในที่ลับย่อมทำได้ ในที่สาธารณะต้องแสดง (perform) ให้สุดกู่ตรงข้าม เพื่อจะได้หากินกับเจ้าได้โดยไม่ถูกสงสัย
หากนำสิ่งที่พูดกันในที่ลับมาพูดกันอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา แม้กระทั่งพูดตามหลักการหลักวิชาอย่างจริงจังก็กลับกลายเป็นการกระทำที่กระทบกระเทือนจิตใจคนไทยเหลือเกิน เป็นสิ่งที่คนดีในสังคมไทยรับไม่ได้
พุทธศาสนาดูเหมือนจะล่วงรู้ถึงความเน่าเฟะชนิดนี้จึงเตือนเราตลอดมาว่า ความสุจริตรวมถึงวจีและมโนสุจริตด้วย แต่สังคมพุทธแบบไทยก็เป็นพุทธแบบประจบสอพลอหน้าไหว้หลังหลอก เราท่านจึงมักเรียกร้องความจริงใจจากผู้อื่นวันละร้อยครั้ง เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าเราต่างใส่หน้ากากสอพลอใส่กันในชีวิตสาธารณะตลอดเวลา ต้องเช็คว่าจริงใจจริงๆหรือไม่เสมอๆ
ถ้าเช่นนั้น คนที่จริงใจเทิดทูนสถาบันอย่างจริงใจและไม่พอใจนักศึกษาในขณะนี้ มีสักกี่คนที่ไม่เคยซุบซิบนินทาจาบจ้วงเจ้าเลยแม้กระทั่งในยามสนทนาส่วนตัว อยู่บ้านก็สนทนาไปกราบไปเป็นกิจวัตร ผมขอเคารพคนเช่นนี้อย่างสูง และผมเห็นว่าคนเช่นนี้เท่านั้นจึงมีสิทธิจะโกรธและกล่าวหานักศึกษาว่าทำการกระทบกระเทือนจิตใจพวกเขาเหลือเกิน
แต่คนอื่นทั้งหลายทั้งปวง อีกกี่สิบล้านก็ตาม ที่นินทาจาบจ้วงเจ้าในที่ส่วนตัว แต่กลับมาป่าวร้องให้จัดการนักศึกษา โดยเฉพาะผู้ทรงเกียรติในสภาสอวอพลอ (ตรงนี้ไม่ได้พิมพ์ผิด) และสื่อกระหายเลือดเด็กทั้งหลาย ขอความกรุณา Shut Up!
ความผิดของนักเรียนนักศึกษาเยาวชนรุ่นนี้ คือนำสิ่งที่ผู้ใหญ่อย่างเราท่านจาบจ้วงในที่ลับ มาพูดกันอย่างมีวุฒิภาวะในที่แจ้ง
ความผิดของเขาคือ ทำให้เรื่องซุบซิบนินทากลายเป็นประเด็นสาธารณะ ที่ต้องขบคิดด้วยเหตุด้วยผลด้วยหลักการอย่างผู้ใหญ่ ในขณะที่มีผู้ใหญ่น้อยคนที่คิดอะไรมากไปกว่าการซุบซิบนินทาไปจนถึงเรื่องส่วนบุคคลจุกจิกสารพัด ทั้งๆที่ความไม่สมบูรณ์เป็นสิ่งปกติของมนุษย์ (ตัวเองก็ไม่ได้ดีสมบูรณ์กว่าคนที่โดนเรานินทาหรอก)
ประกาศ 10 ข้อของนักศึกษานั้นสรุปได้เป็น 3 หลัก ซึ่งเป็นหลักการที่เราทุกคนรับได้ แต่เห็นต่างกันว่าหมายถึงอย่างไร นั่นคือ
1) กษัตริย์ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวการเมืองหรือใช้อำนาจทางปกครอง
2) กษัตริย์ต้องไม่อยู่เหนือกฎหมาย ไม่เป็นอภิสิทธิ์ชน
3) กษัตริย์ต้องอยู่อย่างสง่างามเป็นที่เคารพรักอย่างสมัครใจ
ความผิดของเยาวชนรุ่นนี้ คือ พวกเขาพยายามบอกแก่ผู้ใหญ่ทั้งหลาย (ไม่ใช่บอกแก่สถาบันกษัตริย์) ว่า พอกันที หยุดนินทาว่าร้ายในทางลับแล้วสรรเสริญเยินยอสอพลอในที่แจ้งเสียที มีอะไรผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ควรพูดออกมาด้วยเหตุผล เพราะพฤติกรรม “อยู่เป็นแบบไทยๆ” น่ะแหละคือ ตัวทำลายความมั่นคงยั่งยืนของสถาบันกษัตริย์ กัดเซาะสถาบันกษัตริย์อย่างน่ารังเกียจที่สุด
ความผิดของเยาวชนรุ่นนี้คือ บอกแก่ผู้ใหญ่ผู้ทรงเกียรติทั้งหลายว่า “เมื่อไหร่จะเป็นผู้ใหญ่เสียที”
ผู้ใหญ่พูดเสมอว่าเยาวชนคืออนาคตของชาติ แต่ผู้ใหญ่ผู้ทรงเกียรติทั้งหลายกลับพยายามบังคับให้เยาวชนท่องจำว่า “อนาคตคืออดีต อดีตคืออนาคต” เยาวชนจึงหมายถึงอดีตในอนาคตเท่านั้น
การทำร้ายเยาวชนและทำลายความฝันของเขาในวันนี้ มิได้หมายถึงเพียงทำลายอนาคตของเยาวชนไม่กี่คนลงไป แต่เป็นการฆ่าอนาคตของคนทั้งรุ่น อนาคตของชาติกำลังถูกทำลายด้วยมือของผู้ใหญ่ผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย
ทางออกที่ดีกว่านี้คือการถกเถียงกันอย่างเคารพกัน ระหว่างอดีตกับอนาคต ระหว่างเยาวชนที่ต้องการสร้างอนาคตที่เขาปรารถนาและกับผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจทั้งหลาย