กับ ‘ผมเผ้า’ นักเรียนนี่มีบางคนถามซื่อบื้อ
ถ้าครูเจอเด็กเฮี้ยวไม่ยอมท่าเดียวพูดอย่างไรไม่ฟังจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อโรงเรียนมีระเบียบลงมา
ก็มีคนตอบซึ่งหน้า “ไปหาที่สอนใหม่สิ” แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นว่า
แม่เด็กทนกดดันไม่ไหวให้ลูกสาวลาออกเสียแล้ว
บ้างว่าต้นตอปัญหาอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการ
ซึ่งกำหนดนโยบายให้โรงเรียนถือปฏิบัติ ต้องไปจี้เอาตรงนั้นเหมือนอย่างที่เด็กสี่ห้าคนกลุ่ม
'นักเรียนเลว'
ไปยื่นร้องเรียนปลัดกระทรวงฯ แล้วตามทวงด้วยการตัดผมประท้วง (ดูยูทู้บ ‘วีรนันท์ กัณหา’)
ก็ยังดีหน่อยที่รู้เห็นได้ว่าจะไปร้องเรียนกับใคร
แต่กับการที่เดี๋ยวนี้มีตำรวจไปเยี่ยมบ้าน ถ่ายรูปนักเรียนนักศึกษาซึ่งออกไปแสดงสัญญลักษณ์การเมืองถามหา
#คนหาย ตำรวจอ้างเสมอว่า “นายสั่งมา”
ทำมาหลายปีจนวันนี้ยังไม่รู้แน่ว่า ‘นาย’ นั้นคือใคร
แน่นอนว่าการกำหนดนโยบายให้ต้องตามหลักเสรีนิยม
และคำนึงถึงสิทธิส่วนตัวเหนือร่างกายของเด็ก เป็นแนวทางที่ต้องเดินในยุคสมัยนี้
หรือแม้แต่ ‘รับปาก’ (ซึ่งไม่แน่ว่าจะทำไหม)
ว่าจะออกกฏใหม่โดยฟังความเห็นเด็กหรือทำประชาพิจารณ์
แต่ก้นบึ้งของปัญหา อันเกิดจากทุกเรื่องที่มีการใช้อำนาจรัฐ
อำนาจองค์กรข่มขู่ ข่มเหงประชาชนทั่วไปโดย ‘เจ้าหน้าที่’ หรือเจ้าพนักงานนั่นต่างหากเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้ความเป็นธรรมในสังคม ‘disrupted’
สั่นคลอนอยู่ขณะนี้
การข่มขู่และข่มเหงมาในรูปแบบที่นิยมใช้คำอังกฤษทับศัพท์ว่า
‘bully’ นี่เป็นเหตุให้มารดาของนักเรียนหญิงที่อำเภอยางชุมน้อย
ศรีสะเกษ “รับไม่ได้คือ ทั้งนักเรียนในโรงเรียน ทั้งครูบางคน ก็มาโพสด่าทุกวัน”
จะให้ “ทำเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้น” เช่นที่ประธานฯ สงเคราะห์เด็กแนะ
ไม่ไหว
ดร.กัลยาณี ธรรมจารีย์ ให้ข้อเสนอแบบไทยๆ
นุ่มนวล ไม่แตะอะไรที่จะทำให้คู่กรณีเสียหาย “เหตุการณ์นี้ไม่ได้มีผลดีกับใคร
และอยากให้โรงเรียนให้อภัยเด็ก เนื่องจากเด็กอาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์
หรือสื่อสารไม่ชัดเจน” ไม่ใช่ละมัง
การสื่อสารชัดเจน เด็กรู้ดีอะไรเป็นอะไร บอกว่าเมื่อก่อนเคยไว้ยาวถึงครึ่งหลัง
เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่อย่างนี้ ครูสั่งให้ตัดก็ตัดแล้วถึงต้นคอ ไม่พอ
แต่ครูใช้อำนาจบาตรใหญ่คว้ากรรไกรมาตัดผมบางส่วนทิ้งจนดูผิดปกติ แม้ทั่นประธานฯ
จะเห็นว่า “ไม่ได้เสียหายมากนัก” แต่แม่เด็กเห็นว่า ‘น่าเกลียด’ น่ะ
การ ‘ข่ม’
กันมีมาแล้วนานนมในสังคมไทย เพราะความ ‘นิยม’ ใช้อำนาจ กำลังและศาสตราวุธเข้าขู่บังคับ คิดดูแล้วกันรัฐประหารเกือบยี่สิบครั้งก็ยังทนวางเฉยกันมามากกว่าสองช่วงอายุคน
ถึงศตวรรษนี้เด็กรุ่นใหม่ไม่ยอมวางเฉยด้วย ก็เลยโดนผู้ใหญ่ ‘บุลลี่’
เพจ ‘thisrupt’ เขียนถึงกลุ่มเด็กนักเรียนผู้เรียกตนเองว่า #bad students ถูกถล่มทางโซเชียลมีเดียเสียยิ่งกว่าที่นักเรียนหญิงศรีสะเกษโดน
หลังจากที่พวกเขาไปยื่นคำร้องเรียนต่อปลัดกระทรวงศึกษา แล้วนักเรียนหญิงคนหนึ่งไปนั่งประท้วง
มัดมือไพล่หลัง เทปดำปิดปาก แผ่นป้ายคล้องคอ “เชิญตัดผมทำโทษ”
“ถามหน่อยมีผัวกี่คนแล้ว,
ไร้ราคา, เหมือนดาราเอวี, ไปตายดีกว่า” เป็นถ้อยคำที่หลายคนเข้าไปโจมตีอย่างหยาบคาย เสียๆ
หายๆ โดยไม่คำนึงเหตุผลและต้นเหตุของการประท้วงว่าเป็นมาอย่างไร “นักเรียนถูกบังคับให้ตัดผม
ขัดต่อใจเราปรารถนา
...ผมเป็นส่วนหนึ่งของสรีระร่างกายเรา
ไม่ควรจะให้ใครอื่นมาใช้อำนาจตัดสินว่าควรทำอย่างไรกับมัน
นอกจากตัวเรา...ไม่ว่าเราจะไว้ผมทรงอะไร มันไม่ได้รบกวนการเรียนการศึกษาของเราเลย...มันเกี่ยวกับเราถูกสอนอย่างไร
ครูสอนได้เรื่องไหม มากกว่า”
อย่างนี้แสดงแจ้งชัดแล้วว่าเด็กรุ่นนี้ ‘ตื่นแล้ว’ จากการถูกฉีดยาชาทางวัฒนธรรมและประเพณีไทยๆ
ที่โดนผู้ใหญ่หรอกมาหลายชั่วอายุคนว่า ‘เชื่อเถอะ’ แล้วหมาจะไม่กัด
เพียงเพราะผู้ใหญ่รู้ตัวตนเองจะอ่อนแรงลงไปทุกวันตามอายุขัย
หากไม่กำหราบไว้แต่เล็ก
อีกหน่อยเด็กเสียงแข็งแล้วตนเองจะไม่ได้อย่างใจ จึงใช้กุศโลบายแยบยล
ทำให้คนรุ่นลูกหลานหวั่นเกรงด้วยไม้เรียวไม่พอ พยายามทำให้สมองฝ่อ ไม่ถึงกับงอมืองอเท้า
แต่ฉลาดรู้พอสั่งซ้ายหันขวาหันได้ อย่างลิงเก็บมะพร้าวของ สาธิต ปิตุเตชะ นั่นละ