วันพุธ, กรกฎาคม 08, 2563

กับ ‘ผมเผ้า’ นักเรียนนี่ ปัญหาอยู่ที่สังคม นิยมใช้อำนาจ 'ข่มเหง'


กับ ผมเผ้า นักเรียนนี่มีบางคนถามซื่อบื้อ ถ้าครูเจอเด็กเฮี้ยวไม่ยอมท่าเดียวพูดอย่างไรไม่ฟังจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อโรงเรียนมีระเบียบลงมา ก็มีคนตอบซึ่งหน้า “ไปหาที่สอนใหม่สิ” แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นว่า แม่เด็กทนกดดันไม่ไหวให้ลูกสาวลาออกเสียแล้ว

บ้างว่าต้นตอปัญหาอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งกำหนดนโยบายให้โรงเรียนถือปฏิบัติ ต้องไปจี้เอาตรงนั้นเหมือนอย่างที่เด็กสี่ห้าคนกลุ่ม 'นักเรียนเลว' ไปยื่นร้องเรียนปลัดกระทรวงฯ แล้วตามทวงด้วยการตัดผมประท้วง (ดูยูทู้บ วีรนันท์ กัณหา)

ก็ยังดีหน่อยที่รู้เห็นได้ว่าจะไปร้องเรียนกับใคร แต่กับการที่เดี๋ยวนี้มีตำรวจไปเยี่ยมบ้าน ถ่ายรูปนักเรียนนักศึกษาซึ่งออกไปแสดงสัญญลักษณ์การเมืองถามหา #คนหาย ตำรวจอ้างเสมอว่า “นายสั่งมา” ทำมาหลายปีจนวันนี้ยังไม่รู้แน่ว่า นายนั้นคือใคร

แน่นอนว่าการกำหนดนโยบายให้ต้องตามหลักเสรีนิยม และคำนึงถึงสิทธิส่วนตัวเหนือร่างกายของเด็ก เป็นแนวทางที่ต้องเดินในยุคสมัยนี้ หรือแม้แต่ รับปาก(ซึ่งไม่แน่ว่าจะทำไหม) ว่าจะออกกฏใหม่โดยฟังความเห็นเด็กหรือทำประชาพิจารณ์

แต่ก้นบึ้งของปัญหา อันเกิดจากทุกเรื่องที่มีการใช้อำนาจรัฐ อำนาจองค์กรข่มขู่ ข่มเหงประชาชนทั่วไปโดย เจ้าหน้าที่ หรือเจ้าพนักงานนั่นต่างหากเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้ความเป็นธรรมในสังคม ‘disrupted’ สั่นคลอนอยู่ขณะนี้

การข่มขู่และข่มเหงมาในรูปแบบที่นิยมใช้คำอังกฤษทับศัพท์ว่า ‘bully’ นี่เป็นเหตุให้มารดาของนักเรียนหญิงที่อำเภอยางชุมน้อย ศรีสะเกษ “รับไม่ได้คือ ทั้งนักเรียนในโรงเรียน ทั้งครูบางคน ก็มาโพสด่าทุกวัน” จะให้ “ทำเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้น” เช่นที่ประธานฯ สงเคราะห์เด็กแนะ ไม่ไหว
 
ดร.กัลยาณี ธรรมจารีย์ ให้ข้อเสนอแบบไทยๆ นุ่มนวล ไม่แตะอะไรที่จะทำให้คู่กรณีเสียหาย “เหตุการณ์นี้ไม่ได้มีผลดีกับใคร และอยากให้โรงเรียนให้อภัยเด็ก เนื่องจากเด็กอาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือสื่อสารไม่ชัดเจน” ไม่ใช่ละมัง

การสื่อสารชัดเจน เด็กรู้ดีอะไรเป็นอะไร บอกว่าเมื่อก่อนเคยไว้ยาวถึงครึ่งหลัง เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่อย่างนี้ ครูสั่งให้ตัดก็ตัดแล้วถึงต้นคอ ไม่พอ แต่ครูใช้อำนาจบาตรใหญ่คว้ากรรไกรมาตัดผมบางส่วนทิ้งจนดูผิดปกติ แม้ทั่นประธานฯ จะเห็นว่า “ไม่ได้เสียหายมากนัก” แต่แม่เด็กเห็นว่า น่าเกลียดน่ะ

การ ข่มกันมีมาแล้วนานนมในสังคมไทย เพราะความ นิยม ใช้อำนาจ กำลังและศาสตราวุธเข้าขู่บังคับ คิดดูแล้วกันรัฐประหารเกือบยี่สิบครั้งก็ยังทนวางเฉยกันมามากกว่าสองช่วงอายุคน ถึงศตวรรษนี้เด็กรุ่นใหม่ไม่ยอมวางเฉยด้วย ก็เลยโดนผู้ใหญ่ บุลลี่

เพจ ‘thisrupt’ เขียนถึงกลุ่มเด็กนักเรียนผู้เรียกตนเองว่า #bad students ถูกถล่มทางโซเชียลมีเดียเสียยิ่งกว่าที่นักเรียนหญิงศรีสะเกษโดน หลังจากที่พวกเขาไปยื่นคำร้องเรียนต่อปลัดกระทรวงศึกษา แล้วนักเรียนหญิงคนหนึ่งไปนั่งประท้วง มัดมือไพล่หลัง เทปดำปิดปาก แผ่นป้ายคล้องคอ “เชิญตัดผมทำโทษ”
 
“ถามหน่อยมีผัวกี่คนแล้ว, ไร้ราคา, เหมือน​ดาราเอวี, ไปตายดีกว่า” เป็นถ้อยคำที่หลายคนเข้าไปโจมตีอย่างหยาบคาย เสียๆ หายๆ โดยไม่คำนึงเหตุผลและต้นเหตุของการประท้วงว่าเป็นมาอย่างไร “นักเรียนถูกบังคับให้ตัดผม ขัดต่อใจเราปรารถนา

...ผมเป็นส่วนหนึ่งของสรีระร่างกายเรา ไม่ควรจะให้ใครอื่นมาใช้อำนาจตัดสินว่าควรทำอย่างไรกับมัน นอกจากตัวเรา...ไม่ว่าเราจะไว้ผมทรงอะไร มันไม่ได้รบกวนการเรียนการศึกษาของเราเลย...มันเกี่ยวกับเราถูกสอนอย่างไร ครูสอนได้เรื่องไหม มากกว่า”

อย่างนี้แสดงแจ้งชัดแล้วว่าเด็กรุ่นนี้ ตื่นแล้วจากการถูกฉีดยาชาทางวัฒนธรรมและประเพณีไทยๆ ที่โดนผู้ใหญ่หรอกมาหลายชั่วอายุคนว่า เชื่อเถอะแล้วหมาจะไม่กัด เพียงเพราะผู้ใหญ่รู้ตัวตนเองจะอ่อนแรงลงไปทุกวันตามอายุขัย

หากไม่กำหราบไว้แต่เล็ก อีกหน่อยเด็กเสียงแข็งแล้วตนเองจะไม่ได้อย่างใจ จึงใช้กุศโลบายแยบยล ทำให้คนรุ่นลูกหลานหวั่นเกรงด้วยไม้เรียวไม่พอ พยายามทำให้สมองฝ่อ ไม่ถึงกับงอมืองอเท้า แต่ฉลาดรู้พอสั่งซ้ายหันขวาหันได้ อย่างลิงเก็บมะพร้าวของ สาธิต ปิตุเตชะ นั่นละ