และแล้วตัวเลข ‘ถลุง’ ก็ลงตัว
อ้อยอิ่งมาหนึ่งอาทิตย์จากต้องการ ๒ แสนล้าน มาจบที่ ๒ ล้านล้านบาท เฉพาะ
พรก.กู้ใหม่ไว้ให้ลูกหลานตามใช้หนี้ก็เข้าไป ๑ ล้านล้านแล้ว
ที่เหลืออีกสอง พรก. ใช้อุ้มสถาบันการเงินและตลาดหุ้น ๙ แสนล้าน แถมด้วยอีกหนึ่ง พรบ. ขอโอนงบประมาณปี ๖๓ ที่คุยไว้ว่าจะตัดจากกระทรวงต่างๆ แห่งละ ๑๐ เปอร์เซ็นต์นั่น เอาไปโปะงบกลางราว ๘ หมื่นล้านถึง ๑ แสนล้าน
ส่วนที่ประชากรร้องแรกแหกกะเฌอกันว่า ตัดจากเงินบำเรอ สว.สิ ก็หมดหวังตามเวรกรรม
พวก สว.ทั่นก็ทำท่าจะหน้าบางเหมือนกันนะ เงียบเชียบมานานตั้งแต่เกิดโควิด-๑๙เนี่ย
เพิ่งมาเปิดก้นถกเรื่องตัดเงินเดือนเอาไปสู้โควิดเมื่อวานซืน เสรี สุวรรณภานนท์
ได้เป็นพระเอกอภิปรายสนับสนุนบริจาคตามอัตภาพ ยอมรับว่าแต่ละคนใช้จ่ายส่วนตัวไม่เหมือนกัน
ไม่วายวกไปแก้ภาพพจน์เสียหน่อยก่อน “ส.ว.ทุกคนทำงานกันตลอด
ไม่ได้อยู่เฉยๆ มีการหารือกันตลอดเวลา ที่ผ่านมานำสิ่งของไปแจกประชาชนตลอด
มีทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว” ‘หารือ’ น่ะนะเพ่ย ได้ไรมั่ง
เสร็จแล้วโดน ‘สว.นักเลง’ เบรคหัวขะมำ “นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ
ส.ว.กล่าวว่าไม่เห็นด้วย
หากจะให้ส.ว.สละเงินเดือนทั้งหมดไปช่วยแก้ไขสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อโควิด-๑๙”
เพราะ “ไม่ได้รวยเหมือนกันทุกคน บางคนมีแค่เงินเดือนอย่างเดียว
แต่มีภาระค่าใช้จ่ายในการลงพื้นที่มาก...
ประเทศไทยยังไม่สิ้นไร้ไม้ตอก
ถังแตกถึงขนาดที่ต้องให้ ส.ส. ส.ว. และข้าราชการต้องสละเงินเดือนทั้งหมด
รัฐบาลมีงบประมาณช่วยเหลืออยู่แล้ว” นักเลงคนที่ปกป้องนายกฯ
สุดลิ่มนี่มีประวัติวางก้ามโด่งดังคราวที่อภิปรายแย้ง ส.ส.เพื่อไทย
คราวนั้นยุทธพงศ์ จรัสเสถียร เปิดญัตติ
ประยุทธ์ จันทร์โอชา ‘หนีสภา’ กิตติศักดิ์ลุกขึ้นต่อปากก้าวร้าวว่า “ผู้อภิปรายเป็น ส.ส.ขี้ข้าโจร”
พอโดนย้อนว่าเป็น สว. ‘เลียรองเท้าทหาร’ เลยเดินไปชี้หน้าท้าออกไปเจอกันข้างนอกเสียนิ
นั่นอาจอธิบายได้ว่า โถ
สว.ทหารตั้งก็ต้องมีประเภทตีหัวหมาด่าแม่เจ๊กกันบ้างสิ แต่นี่เค้ายกเหตุว่า “สละเงินเดือน
๓ เดือนก็ได้เงินมากสุดแค่ ๓๐๐ กว่าล้านบาท ไม่สามารถนำไปแก้ไขอะไรได้มาก” โหย สว.ตู่ตั้งนี่เงินหย่ายเสียจริง
ขนาดสามร้อยกว่าล้านบอกทำอะไรไม่ได้ ชักหวาดเสียว
เดี๋ยวเขาบอกว่าเงินเดือนแสนกว่าไม่พอละลายน้ำ ต้องขึ้นให้อีกอย่างน้อยเท่าตัวเป็นสามแสนล่ะ
ต้อง พรก.กู้ใหม่อีกไหม ถึงจะดันทุรังอ้างอีกว่าก่อหนี้ได้ถึง ๖๐
เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีก็เถอะ
ที่จะกู้ใหม่ ๑ ล้านล้าน อาจจะแค่ ๕๐
เปอร์เซ็นต์จีดีพีก็ตามที แต่ว่าตอนนี้จีดีพีไทยน่ะติดลบนะเธอว์
เมื่อวันก่อนสแตนดาร์ดชาร์เตอรด์แบ๊งค์เพิ่งประกาศขอปรับลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยสำหรับปี
๒๕๖๓ นี้ลงไปอีก
เดิมจีดีพีไทยยุครัฐบาล ‘ตูบ’ สืบทอดอำนาจ คสช. นี่แค่ติดลบ ๑
เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ถึงแม้นั่นจะเป็นการติดลบมากสุดตั้งแต่ปี ๒๕๔๑ ที่ทำให้ชาวบ้านยังรุ่มๆ
ไม่หาย แล้วนี่มาติดลบเพิ่ม ๕ เท่า เป็น -๕.๐% ก็คงต้องร้อนฉ่าละซี
ยังดีที่ ‘ชาร์เตอรด์’
ให้ความหวัง “แม้จะยังไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวกลับมาเมื่อใด
แต่ธนาคารมองว่าการฟื้นตัวน่าจะเกิดขึ้นหลังไตรมาสสองของปี ๒๕๖๓” ดร.ทิม
ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ประจำแบ๊งค์ฯ แถลง
หวังแต่ว่าเมื่อถึงตอนนั้นสถานการณ์โควิดระบาดจะสยบซบเซาลงได้
จากที่ด็อกเต้อโฆษก ศบค. (ฉุกเฉินโควิด) เขาชกลมให้ดูเมื่อวาน (๗ เมษา) ประชากรจะได้ไม่ต้องกระเส่าจากการเคอร์ฟิวขั้นหนัก
เสียจนเกิดการยิงพระยิงเจ้าตายเข้าอีก
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน แจ้งล่าสุดว่า ‘การประกาศภาวะฉุกเฉินและมาตรการเคอร์ฟิวส์’ ได้ผล เพราะจากที่ตรวจไปแล้วเกือบ
๗ หมื่น ๒ พันราย จำนวนผู้ติดเชื้อลดลง ทั่นโฆษกพูดภาษามวยด้วยว่าถึงอย่างนั้นก็ต้อง
“การ์ดไม่ตก” และ “ต้องตึงอย่างนี้ไปตลอด”
โฆษกคนนี้ดูจะพยายามทำให้ดูบุคคลิคตรงข้ามโปรเฟสเซ่อโฆษกหญิง
หมายจะให้ถึงลูกถึงคนมั้ง เกี่ยวกับการที่นำผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศไปกักตัว
๑๔ วันที่สัตหีบ โดยนอนห้องละสามคน ทั้งบ่มทั้งแบ่งเชื้อไวรัสน่ะ
“แม้ว่าดีที่สุดคือการได้พักเดี่ยว
แต่ห้องพักเราไม่เพียงพอ” พระเดชพระคุณหมออ้าง “ท่านรู้หรือไม่เวลาที่ท่านมาจะต้องใช้กำลังเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจำนวนเท่าไหร่
ถ้าต้องมีพื้นที่แบบสัตหีบอีก ๑๐ แห่ง จะต้องใช้คนอีกเท่าไหร่”
โอเค ใช้เยอะ
แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับความสะดวกสบายนะคุณหม (ขออภัยพิมพ์ตกตัว ‘อ’) จะ “ฝากให้ทุกท่านได้อดทน” รับแพร่เชื้อน่ะเหรอ
ถ้างี้ขอไม่ใส่ตัว ‘อ’ ให้ครบละกัน