วันอังคาร, เมษายน 21, 2563

ต่อ ‘พรก.ฉุกเฉิน’ อีก ๑ เดือน นี่มัดมือชกชาวบ้านรับใช้หนี้ผ่อนส่งอีก ๕๐ ปีละสิ


“พาดหัวข่าวเช้านี้ เตรียมต่อ พรก.ฉุกเฉิน อีก ๑ เดือน” จากทวี้ตของ ไอ้วาฬ’ @iwhale (ไอเวล) ว่ายังจะมีเคอร์ฟิว ปิดห้าง ปิดสถานบริการต่างๆ ยาวต่อไปสุดเดือนพฤษภา อาจมีผ่อนปรนบางส่วน แต่ส่วนที่ ทหารใช้อำนาจเกินจำเป็นคงมีได้เป็นครั้งคราว

คือส่วนที่ไม่เกี่ยว โควิด-๑๙เท่าไหร่ แต่ก็เข้าขอบข่ายอำนาจไม่ปกติ เมื่อ “ทหารชุดปราบปรามยาเสพติด บุกอุ้มเอาตัวลูกชายสองพี่น้องที่อยู่ในกระท่องนาท้ายหมู่บ้าน ในเขตพื้นที่บ้านยางคำ ต.อุ่มเหม้า ก่อนหายตัวปริศนา”

แล้วปรากฏว่าคนหนึ่งตาย อีกคนสาหัสจนบัดนี้ยังร่อแร่ สองหนุ่มนครพนมอายุ ๓๓ ปี กับ ๒๙ ปี ถูกทหารนอกเครื่องแบบ ๗ คนไปนำตัวจากกระท่อมปลายนาไปควบคุมไว้ที่ฐานปฏิบัติการ อ้างว่าทั้งสองเสพยา พอสองชั่วโมงต่อมาพ่อแม่หนุ่มไปตามทวง

ทหารยอมปล่อยตัวออกมาในสภาพอาการบาดเจ็บหนัก มีทั้งรอยฟกช้ำและบาดแผลจึงส่งโรงพยาบาล คนพี่ไม่รอด คนน้องยังมีชีวิตแต่ซี่โครงหักอีกนานกว่าจะหายดี พ่อแม่จึงไปแจ้งความ ถามว่าถ้าติดยาทำไมไม่ส่งดำเนินคดี กลับซ้อมถึงตาย

น่าอายก็ตรงที่แม่ทัพภาค ๒ ตอแหล แก้ตัวน้ำขุ่นๆ ว่า “บุคคลทั้งสองได้วิ่งหนีการจับกุมของทางเจ้าหน้าที่จนต้องวิ่งไล่ตามกันไปจนสามารถจับกุมตัวได้ แต่ทั้งสองคนก็ไม่ยอมจึงเกิดการชกต่อยกันเกิดขึ้น จนสามารถจับกุมได้และนำตัวมาสอบสวนที่ฐาน”

ก็ธรรมดา แม้ว่าทั้งสองจะเสพยาติดจริงย่อมวิ่งหนีเป็นธรรมดา ไหงตอนที่กำลังสอบสวน คนหนึ่ง “เกิดอาการปวดหลัง จากนั้นมีอาการชักเกร็ง” จนต้องส่งโรงพยาบาล ซึ่ง สุณัย ผาสุก @sunaibkk แห่งฮิวแมนไร้ท์ว้อทช์ บอก 
“แม่ทัพพูดตรงกันข้ามกับปากคำของเหยื่อที่รอดตายเลย จากถูกจับไปซ้อมทรมานในหน่วยทหารกลายเป็นชกต่อยชุลมุนกันระหว่างจับกุมตัว” และระหว่างชาปณกิจลูกคนที่เสียชีวิต ทหาร ๗ คนไปขอขมาต่อศพ “ทั้งหมดให้การรับสารภาพว่ากระทำจริง”

แต่ว่า “ทหารที่ถูกกล่าวหาทั้ง ๗ นาย จะถูกนำตัวไปสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามระเบียบของข้าราชการทหาร” นี่ไงกระบวนการยุติธรรมในภาวะฉุกเฉิน ท้ายสุดศาลทหารอาจสั่งปลดคนทั้งเจ็ดจากตำแหน่งในราชการ แลกกับ ๑ ชีวิตกับ ๑ สาหัส


ข้ามไปประเด็นการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา “จนถึงวันนี้..รัฐบาลต้องมีความจริงใจและต้องรีบเปิดสภา ให้ผู้แทนราษฎรได้เข้ามามีส่วนร่วมสะท้อนปัญหาและร่วมหาทางออกให้ประชาชน” Phumtham Wechayachai พรรคเพื่อไทยฝ่ายค้านกระตุก

 “รัฐบาลไม่ควรต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแต่ควรบังคับใช้ พ.ร.บ.โรคติดต่อแทน” น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาฯ พรรคเจาะที่กรณีโรคระบาดโควิด-๑๙ ขณะที่อดีตเลขาฯ ภูมิธรรม หมายตาเรื่องการเมือง “อย่าทำมึนแล้วดึงเวลาใช้สถานการณ์ฉุกเฉินไปเรื่อยๆ”

ในเมื่อ “เงินที่กำลังจะใช้ ล้วนเป็นเงินกู้ที่ต้องใช้เงินภาษีในอนาคตของประชาชนมาชดใช้ทั้งนั้น” เขาจี้ถึงการออก พรก.กู้เงินเกือบ ๒ ล้านล้านบาท อ้างแก้วิกฤตโรคระบาด ซึ่งนักวิชาการสำนักที่เคยสนับสนุนรัฐบาลรัฐประหารยังยอมรับ

ว่าประชาชนต้องตามเช็ดตามใช้ไปอีก ๕๐ ปี โดยเฉพาะที่วงวิชาการการเงินการคลัง หนาว กันมากเวลานี้ก็คือ “แบงค์ชาติไทยตั้งกองทุน ๔ แสนล้านเพื่ออัดฉีดเข้าตลาดตราสารหนี้บริษัท” ซึ่ง กานดา นาคน้อย นักเศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยคอนเน็คติกัตบอก

“รัฐบาลไทยมีแพ็คเกจ SME กู้ ๒ แสนล้านไหม” ในเมื่อดูจาก โมเดลสหรัฐ “ท่ามกลางวิกฤตโควิดในแพ็คเกจกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลสหรัฐฯ มีมูลค่าเกิน ๕๐% ของเม็ดเงินที่แบงค์ชาติอเมริกันอัดฉีดเข้าตลาดตราสารหนี้บริษัท”

ทว่า พรก.กองทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องของการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้ไทย แม้ระบุว่า “สัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ของกองทุน เมื่อเทียบกับแหล่งเงินทุนอื่นของผู้ออกตราสารหนี้ในคราวเดียวกัน ซึ่งจะต้องไม่เกิน ๕๐% ของยอดตราสารหนี้ที่จะครบกำหนด”

กลับมีข้อยกเว้น “เว้นแต่ได้รับผ่อนผันจากคณะกรรมการกำกับกองทุน” อันมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้ร่วมอยู่ นอกเหนือจากนั้น “ถ้าเกิดความเสียหายขึ้นแก่ธนาคารแห่งประเทศไทย ให้กระทรวงการคลังชดเชยความเสียหาย...ในวงเงินไม่เกิน ๔ หมื่นล้านบาท”


ทั้งหมดนั่นเข้าใจได้ง่ายๆ ตามประสาชาวบ้านได้ว่า การออกกฎหมายให้กู้เงิน ๔ แสนล้านเอาไปอุ้มบรรษัทการเงินเอกชนที่เป็น ‘cream of the crop’ ในประเทศในเรื่องการทำกำไรนั้น 

นอกจากชาวบ้านธรรมดาตาค้างแล้วยังรู้สึกสะอึกว่า เป็นการจับเสือมือเปล่าที่พวกเขาและลูกหลานจะได้รับเกียรติซึ่งไม่ต้องการ ให้เป็นผู้ใช้หนี้แทนต่อไปอีกครึ่งศตวรรษ