ถึงที่สุดแล้วปัญหาคนไม่มีจะกินหนักหนาสากันต์ยิ่งกว่าติดเชื้อโควิด
ไม่ว่าในขณะนี้หรือในอนาคตอันไม่ไกล มันจึงต้องไปลงที่รัฐบาลชุดนี้อย่างช่วยไม่ได้
ที่ไม่สามารถบริหารจัดการทั้งในการผ่อนคลายผลกระทบของโรคระบาด
และอาการทรุดหนักทางเศรษฐกิจ
แน่นอนความยากไร้เกิดกับผู้ต้องพึ่งพารายได้รายวัน-รายเดือนประทังชีวิต
ทำให้ผู้พอมีกินและเหลือใช้มองว่า การไปยืนเข้าแถวยาวเหยียดรอรับของแจกและอาหาร
เป็นความโง่เขลาไม่รับผิดชอบต่อสังคม เพราะจะทำให้มีการแพร่เชื้อไวรัสมากขึ้น
ทว่า การคิดอย่างนั้นนั่นเองต่างหากที่เอารัดเอาเปรียบ
เอาแต่ได้ไม่เห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อีกทั้งเพื่อนมนุษย์เหล่านั้นเป็นคนส่วนมากในสังคมไทย
พวกเขาได้รับความเดือดร้อนจากการหากินฝืดเคืองมาอย่างน้อยๆ ก็ห้าหกปีเข้านี่แล้ว
เริ่มแต่รัฐบาลที่ยึดอำนาจเขามาแล้วหาเงินใส่คลังไม่เป็น
ดีแต่ใช้จ่ายมือเติบตลอดมาจนถึงสมัยที่เป็นรัฐบาลผ่านการเลือกตั้งอย่างเอาเปรียบด้วยเล่ห์กลเพื่อสืบทอดอำนาจ
ก็มาป๊งเช้งเจอวิกฤตโควิด-๑๙ เข้าให้ แต่เปล่านะ รัฐบาลไม่เดือดร้อน ประชาชนนั่นสิ
#จะอดตายกันหมด
หมอคนหนึ่งเขียนถึงหมออีกคนที่เป็นโฆษกศูนย์อำนวยการฉุกเฉิน
ไม่เข้าใจภาวะหิวโหยของผู้คน จึงตำหนิว่าไปยืนรอรับของแจกอย่างไม่มีระเบียบวินัย
ทั้งที่รัฐบาลควรจัดการทั้ง ‘ควบคุมและเยียวยา’
ให้ดีกว่านี้ สะท้อนถึงการไร้ประสิทธิภาพอย่างเรื้อรังของผู้นำ
และผลแห่งการใช้งบประมาณอย่างไม่บันยะบันยังจนกระทั่งเกิดโรคระบาดแล้วกลับตัวไม่ทัน
จึงต้องหันเข้าหาวิธี #ขอทาน เรียกร้องให้พวกมหาเศรษฐี
๑ เปอร์เซ็นต์ของประชากร แต่ครองทรัพย์ศฤงคารกว่า ๖๐ เปอร์เซ็นต์ของประเทศ มาช่วย
ไม่ว่าโฆษกอีกคน รายนี้มีดีกรีด็อกเต้อ
มีศักดินาโปรเฟสเซ่อ
จะพยายามแถกแถแก้ตัวแทนนายว่าที่พูดว่าจะเขียนจดหมายถึงเจ้าสัวนั้นไม่ได้เพื่อขอเงิน
แต่จะชักชวนไปร่วมออกความเห็นเท่านั้น ถ้อยคำก็ชัดเจนว่าส่อเจตนาจะไถเงินเขาแหละ
เพียงแต่ใช้สำนวนอ้อมค้อมไปเท่านั้น
Phattita Cheraiem
ขาประจำบนหน้าเฟชบุ๊ครายหนึ่งที่ตามติดวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลภายใต้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาตลอด
ชี้แนะว่าวิธีการเรียกเจ้าสัวมาสุมหัวแก้เศรษฐกิจไม่ใช่นวรรตกรรมอะไร
ประยุทธ์เคยทำมาแล้วครั้งหนึ่งในปี ๒๕๕๗
คราวนั้นมี ๒๔ นักธุรกิจระดับสุดยอดของไทย
ไปร่วมประชุมกับคณะยึดอำนาจท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจของชาติขณะนั้นอยู่ในขั้น “ค้าปลีกตกต่ำที่สุดในรอบ
๒๐ ปี” ผลที่ตามมาก็คือโครงการประชารัฐ เบิกเงินออกมาใช้เป็นการใหญ่
นัยว่าจะสร้าง ‘ไทยแลนด์ ๔.๐’ ที่ประชาชนทุกคนมีอันจะกินภายในปี
ค.ศ.๒๐๒๐ “๖ ปีผ่านไป...เศรษฐีเหล่านั้นมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ประชาชนกลับจนหนัก”
ดังที่ Phattita ว่า นี่ก็ครึ่งปี ๒๐๒๐ กะลาแลนด์ ๐.๔
ประชาชนต้องไปเข้าแถวยาวเหยียดรอวัดแจกข้าว
ระหว่างนี้รัฐบาลตูบก็มีมาตรการต่างๆ นานาทั้งในการแก้ปัญหาโควิดและพยุงเศรษฐกิจตกต่ำ
ออกมาไม่ขาดมือเหมือนกัน แต่ก็มักจะเหลวเป๋วไปเสียทั้งนั้น
อย่างโครงการลดค่าน้ำค่าไฟงี้ ผ่านมาเป็นเดือนเห็นมีแต่คนบ่น
ว่าเว็บล่มบ้าง
ตั้งค่าคุณสมบัติไว้เสียต่ำใครจะผ่านได้ แถมตอนนี้มีเสียงโอดโอย “ว่าค่าไฟช่วง ๒-๓ เดือนนี้กระโดดขึ้นแบบไม่เคยมีมาก่อน บ้านเราก็ขึ้นเกือบเท่าตัว
ช่วงหน้าร้อนปกติจ่าย ๒ พันกว่าบาท ล่าสุดอีกไม่กี่บาทก็ ๔ พัน”
Puangthong Pawakapan นักวิชาการรัฐศาสตร์ท่านหนึ่งร่วมบ่น
“ส่วนคนที่ขอคืนเงินประกันก็บ่นว่ายังไม่ได้เงินสักที นี่มันรายการซ้ำเติมประชาชนหรืออย่างไร...ลดค่าไฟ
๓% หรือขึ้น ๓๐% กันแน่”
แล้วที่จะไปขอคำแนะนำเจ้าสัว
แล้วจะกลายเป็นว่าถ้าเข้าเซเว่นต้องโดนเก็บค่าต๋งไหมเนี่ย
ทำไมไม่เงี่ยหูฟังทางฟากตรงข้ามเขาบ้าง
อย่างน้อยๆ ผลงานของเขามีอยู่ไม่น้อยนะ ไม่งั้นจะมีเงินในคลังให้พวกทั่นควักใช้มือเปิบมาได้ตั้ง
๕-๖ ปีเลยเหรอ วานนี้ วัฒนา เมืองสุข คนใกล้ชิด ทักษิณ ชินวัตร (เขามีรูปยืนยัน)
แนะ
“ความจริงแล้วรัฐบาลสามารถจ่ายเงินเยียวยาให้กับทุกคนที่ได้รับผลกระทบ
แม้งบกลางจะมีไม่พอและจ่ายได้ทันทีโดยไม่ต้องรอ พรก.เงินกู้ ดังนี้”
ข้อแรกให้ประสานธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง จ่ายเงินให้ผู้มีสิทธิ์ไปก่อน
โดยผู้รับเงินโอนสิทธิ์จากรัฐบาลไปให้ธนาคาร
เข้าท่าดี ลองฟังข้อสองต่อ “ธนาคารก็มีสิทธิหักค่าใช้จ่ายที่ต้องออกเงินล่วงหน้าแล้วจ่ายส่วนที่เหลือให้ประชาชนไปก่อน
เมื่อรัฐบาลได้รับเงินกู้แล้วก็จะโอนเงินคืนให้กับธนาคาร” และสาม “รัฐบาลอาจเพิ่มช่องทางอำนวยความสะดวกกับประชาชน
โดยประสานกับห้างสรรพสินค้าหรือร้านสะดวกซื้อ
เพื่อให้เครดิตกับประชาชนในการซื้อของ
โดยให้ประชาชนโอนสิทธิเรียกร้องการรับเงินเยียวยาให้ร้านค้าคล้ายกับธนาคารก็ทำได้”
แบบนี้เจ้าสัวชอบแหละ ถึงแม้ว่า
“รัฐบาลจะได้ไม่ต้องไปขอความเมตตาจากเศรษฐีจนกลายเป็น #รัฐบาลขอทาน ให้เสียศักดิ์ศรีประชาชน”
ก็ตามที