“เป็นธรรมชาติ” ของการเมืองไทย ดังที่
สุวิทย์ เมษิณทรีย์ รมว.มหาลัยพูดถึงความวุ่นวายภายในพรรคที่ คสช.ตั้ง
เรื่องพี่ใหญ่ป้อมจะเข้าไปคุม พปชร.ด้วยตนเอง พร้อมกับการปรับ ครม.ครั้งใหญ่
ลงเอยว่า ‘ลุงตูบ’ ห้ามทัพ
สยบกระแสไว้ก่อน
คนนั้นว่าต้องโฟกัสไปที่แก้ปัญหาโควิด-๑๙
ก่อน คนนี้ว่าประชาชนกำลังเดือดร้อนอย่าเพิ่งทะเลาะการเมือง แต่ก็มาสะดุดหยุดที่ ‘คนดี’ ประยุทธ์ จันทร์โอชา เบรค “ปมการเมืองในช่วงนี้ไม่สำคัญ...อำนาจการตัดสินใจปรับ
ครม.เป็นของนายกฯ คนเดียว”
ส่วนที่เขกหัวเสี่ยค่ายเนรวิน อนุทิน
ชาญวีรกูล กลางที่ประชุมว่า “คุณก็รู้เรื่อง
คุณทำความความเข้าใจกับเรื่องของคุณบ้างหรือไม่”
ต่อกรณีมีการปรับลดงบประมาณหลักประกันสุขภาพออกไป ๒,๔๐๐
ล้านแล้วโดนช้าวบ้านด่ากระจุยจนต้องถอย นั่นก็ ‘ธรรมชาติ’ เช่นกัน
หันไปทางเฮียป้อมได้แต่เออๆ “ไม่มีอะไรๆ...จบแล้วๆ”
พอเขาถามแล้วทำไมมีคนอยากให้ ‘ทั่นผู้เฒ่า’ เป็นหัวหน้าพรรคเล่า ปู่เค้าก็ไม่ได้ยินคำถามซะงั้น ตอนนี้ก๊วน ‘สมคิด-อุตตม-สุริยะ-ธรรมนัส’ ก็เลยยังลอยตัวอยู่เหนือดราม่า
ทางด้านประธานวิป วิรัช รัตนเศรษฐ์ สุชาติ
ชมกลิ่น หัวหน้าทีม ส.ส. กับพวกที่ส้มเกือบจะหล่นใส่ เสี่ยแฮ้งค์ อนุชา นาคาสัย และ
ณัฐพล ทีปสุวรรณ ณ กปปส. ก็ได้แต่ครับๆ หลังจากนายกฯ ต่อสายตรงถึงบางคน
แล้วอีกบางคนรีบพูดเอง “ผมไม่รู้เรื่อง”
ยังแต่ เสธ.อ้น ‘คนของนาย’ ที่คุยโอ่ว่า “ไปกดดันนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ลาออกจากหัวหน้าพรรค พปชร.” และไปล็อบบี้กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐให้ลาออกเกินครึ่งของที่มีอยู่
๓๔ คน เพื่อเปิดทางเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคกันใหม่
ไม่มีใครกล้าแตะ เว้นแต่ ‘กอริลล่า’ ฝ่ายค้านอย่าง
เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ เดินเครื่อง “รวบรวมข้อมูล...เพื่อยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง
(กกต.) พิจารณาและส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป” ในข้อหาเป็น “ส.ว.ห้ามฝักใฝ่ใดๆ
ในทางการเมือง”
(https://www.thairath.co.th/news/politic/1833651, https://www.khaosod.co.th/politics/news_4034400, https://www.thansettakij.com/content/politics/432150? และ https://www.khaosod.co.th/politics/news_4030485)
จะว่างานนี้ซื้อเวลาจนกว่าจะถึงวันเปิดสภาสมัยสามัญ
๒๒ พฤษภาก็ได้ ในเมื่อระหว่างนี้ถึงนั้น ยืดเวลา
พรก.ฉุกเฉินอีกหนึ่งเดือนเพื่อปรับกระบวนการเมืองให้กลับมาเข้าที่ ในเมื่อการขยายเวลา
‘ล็อคดาวน์’ นี้ทำเพื่อการเมืองยิ่งกว่าการแพทย์
“โฆษก ศบค. อ้างข้อมูล ‘หน่วยงานด้านการข่าว’ ทำโพลถามประชาชนกว่า ๔ หมื่นคน
ปรากฏ ๗๐% เห็นด้วยกับการประกาศภาวะฉุกเฉินของรัฐบาล”
คือไม่ได้ให้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์การแพทย์แจ่มแจ้ง นอกจากอ้างโพล
แม้นว่าโพลนั้นมาจากการข่าวทหารให้ตัวเลข ว่าหากคุมเข้มสุดๆ
จะติดเชื้อเพิ่ม ๑๕-๓๐ รายต่อวัน ถ้าผ่อนปรนบ้างก็จะเพิ่มจาก ๔๐ ถึง ๗๐ คน
แต่คลายล็อคทั้งหมด “คาดพบผู้ติดเชื้อหน้าใหม่ ๕๐๐-๒,๐๐๐ ราย/วัน” ซึ่งเป็นไปได้แต่ไม่มีหลักฐานหนุน
เรื่องของเรื่องมันวกไปหา ‘เงินๆ ทองๆ’ อีกนั่นละ ในเมื่อเปิดสภาฯ งวดนี้
ฝ่ายค้านเอาแน่ แผนกู้และผันงบประมาณรวม ๑.๙ ล้าน ซึ่ง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
พรรคเพื่อไทยตอกย้ำว่าเป็น “#หนี้ก้อนใหญ่สุด ในประวัติศาสตร์ชาติไทย”
และ “จะไม่ยอม #ตีเช็คเปล่าให้รัฐบาลไปใช้แบบไร้ประสิทธิภาพและไม่โปร่งใส”
โดยกำหนดข้อเรียกร้อง ๓ อย่าง ต้องเยียวยาให้ทั่วถึง ต้องฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ได้
และต้องมีการลงทุนเพื่ออนาคตด้วย นั้นอยู่บนพื้นฐานที่ว่า
“ประยุทธ์ขึ้นแท่นนายกฯ
ที่สร้างหนี้มากที่สุดของชาติ” ตามใบเสร็จ ปี ๕๘ ประยุทธ์กู้ ๒ แสน ๕ หมื่นล้าน พอ
๕๙ ‘ตู่’ ขอยืมอีก ๓ แสน ๙
หมื่นล้าน ถึงปี ๖๐ ‘ตูบ’ เพิ่มสถิติกู้เป็น
๔ แสน ๕ หมื่นล้าน ครั้นเข้าปี ๖๑ กลายเป็นซีรี่ย์ต่อเนื่อง
รัฐบาล คสช.๒สร้างหนี้เพิ่มอีกแสนล้านเป็น
๕ แสน ๕ หมื่นล้าน แล้วสลับขาให้ประชาชนตายใจ จัดอัตรากู้ของปี ๖๒ ไปอยู่ที่ ๔ แสน
๕ หมื่นล้านเท่าปี ๖๐ เพื่อที่จะก้าวกระโดดในปีนี้ เพราะมีโควิด-๑๙ มาช่วยแบะท่าให้
ประยุทธ์ จันทร์โอชา (แอนด์เดอะแก๊ง) เลยจัดภาระให้แก่ลูกหลานตามใช้หนี้อีก
๑ ล้านล้านบาท ท่ามกลางบรรยากาศอำนวย เพราะเหตุด้วยรัฐบาลนี้ไม่มีความสามารถจัดเก็บรายได้เข้ารัฐอย่างควร
สำนักงานเศรษฐกิจการคลังเพิ่งแจ้ง
“๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ ๒๕๖๓
(ต.ค. ๖๒-มี.ค. ๖๓) จัดเก็บได้
๑.๑๔ ล้านล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ ๑๕,๕๗๒
ล้านบาท หรือ ๑.๓%” ยังไม่นับอนาคตไม่ไกลที่กระทรวงคลังต้องค้ำประกันเงินกู้เสริมสภาพคล่องสายการบินไทยอีก
๕ หมื่นล้านบาท
เห็นเห็นว่าประชาชนต้องแบกหนี้จากพวกประยุทธ์ไม่มีที่จบสิ้น
โดยที่รายได้หลักของประเทศจากรัฐวิสาหกิจนั้นมาจากกองสลากฯ มากสุด
ตามด้วยการไฟฟ้าฯ และการปิโตรเลี่ยมฯ
ทั้งสามนี่ลูกค้าหลักเป็นชาวบ้านรายได้ต่ำสุดไปถึงปานกลางทั้งนั้น
คนจนเป็นกลุ่มประชาชนที่ซื้อหวยมากกว่าใครๆ
เพราะความจนทำให้ต้องพึ่งพา ‘ลาภลอย’ ขณะที่คนชั้นกลางสัมมาอาชีพจ่ายค่าน้ำค่าไฟกันเต็มพิกัด
แถมยังโดนเก็บค่าบริการแบบก้าวกระโดดเสียอีก
ยังมองไม่เห็นว่าภาระเงินกู้ที่ประยุทธ์ก่อ จะแบ่งไปให้พวกหุ้นส่วนประชารัฐบ้างตรงไหน