วันศุกร์, มีนาคม 06, 2563

ทำไมการรับมือ 'โควิด๑๙' กะท่อนกะแท่น มันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ๓ พรรครับผิดชอบเอาแต่ชิงเด่น


เจ้าสัวธนินท์ประกาศทุ่ม ๑๐๐ ล้านตั้งโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยแจกฟรี คุยว่าซีพีมีเครือข่ายทั่วโลก หาเครื่องจักรและวัตถุดิบอย่างดีได้ง่าย บอกรอ ๕ อาทิตย์เสร็จสรรพพร้อมผลิตได้เดือนละ ๓ ล้านชิ้น ทดแทนคุณประเทศไทย

จะว่าที่จริงตอบแทนกระทรวงคลังที่กำลังจะแจกเงินคนยากจน คนชรา คนทำมาหากิน คนละพันสองพันเอาไปช้อป เซเว่น ก็ได้ ถึงอย่างไรท้ายสุดมันก็วนๆ ไปเจอกันอยู่ดี แม้งานนี้ เจียรวนนท์ได้หน้าโร่ ขณะที่ทีมประชารัฐได้แต้ม

และก็เป็นผลให้ ทีมกัญชาหน้าม้านไปสิ ในเมื่อเป็นหน้าที่รับผิดชอบแท้ๆ จะสองเดือนเข้านี่แล้วตั้งแต่เริ่มเป็นที่ยอมรับไข้ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ระบาดเรื่อยมา ยังไม่เคยทำอะไรได้เรื่องสักอย่าง ดังที่เพจ Gossipสาสุข เขาเปิดประจาน

ว่า รมว. “ไม่ได้ถูกแต่งตั้งเพื่อรับมือกับปัญหาสาธารณสุข” เลยใช้ “ต้นทุนของการเป็นประเทศที่มีระบบสาธารณสุขที่ดีที่สุดเป็นอันดับ ๖ ของโลก” ไปจนใกล้จะหมดเค้าเสียแล้ว แบบเดียวกับรัฐบาล คสช. (ทั้งภาค แย่งอำนาจและภาค ดูดพิสดาร)

อย่างที่เขาว่ากันตามข้างถนนไซเบอร์ กรณีประยุทธ์ จันทร์โอชา รปภ.สะเออะมาเป็นซีอีโอ เศรษฐกิจก็เลยเละ นี่อนุทิน ชาญวีรกูล ผู้รับเหมาก่อสร้างดันได้เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล เห็นท่าจะศพเกลื่อนในไม่ช้าเป็นแน่

ยกตัวอย่างที่เขาแฉ “เช่นผู้ติดเชื้อรายที่ ๔๒ ที่บอกว่าเป็นพนักงานขายที่ใกล้ชิดกับชาวต่างชาตินั้น...ไม่มีใครรู้ความจริงว่าทำงานที่ไหน...ติดเชื้อจากใคร และผู้ติดเชื้อที่แพร่ให้ผู้เคราะห์ร้ายรายที่ ๔๒ นั้นก็เดินทางไปไหนต่อไหนแล้ว”

อีกเรื่อง “การโพสต์ประกาศเรื่องพื้นที่เสี่ยง 9 ประเทศ แล้วระบุว่า คนที่เดินทางจากประเทศเหล่านี้ ต้อง กักกันตัวเอง ๑๔ วัน แล้วในเวลาต่อมา ก็ต้องรีบ ลบ ประกาศ แล้วลบทั้งเพจออกไป” ประชากรต่างพากัน งง จนมาถึงบางอ้อจากลายแทง สศจ.

“หุหุ คนที่อยู่เยอรมัน-ฝรั่งเศส จะเดินทางมา ต้องรอก่อนสิ” @somsakjeam “พูดให้ดูตลกๆ แต่มาคิดดู เรื่องนี้ไม่ตลกแต่อย่างใด...หลังจากพักผ่อนที่เทือกเขาสวิสได้หลายวัน เขาก็กลับมาที่มิวนิคตั้งแต่วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์”

จะเป็นด้วยเพิ่งนึกขึ้นได้ หรือ มิวนิค สั่งมา คำสั่งของอนุทินเมื่อวันที่ ๓ มีนา ที่ว่าทุกคนที่มาจาก ๙ ประเทศ รวมทั้งเยอรมนีและฝรั่งเศส (ที่ตอนนี้ ลูกสาว สถิตย์ ‘stays’ อยู่) จะต้องกักตัว ๑๔ วัน ก็เลยอันตรธานไปในวันรุ่งขึ้น

มีคำสั่งใหม่มาแทน รายละเอียดอื่นทุกอย่างเหมือนเดิมแม้ถ้อยวจี ต่างแต่รายการประเทศเหลือแค่สี่แห่งคือเกาหลี จีน อิตาลี และอิหร่าน “อ้างน้ำขุ่นๆ ว่า ลืมเซ็นชื่อ (ความจริงเซ็น)” มีหลักฐานยืนยันโท่งๆ เซียนแค้ปมือไวจับภาพไว้ได้

ทั้งมวลเหล่านั้นเนื่องจากมีราชการงานสำคัญที่พระมหากษัตริย์จักต้องเสด็จพระราชดำเนินออกจากที่ประทับในมูนิชไปยังประเทศไทยเป็นเวลา ๑ วัน ที่ ๙ มีนาคม เพื่อประกอบพระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต

นั่นอาจเป็นเรื่องสุดวิสัยของ รมว. ในระบอบ คสช.อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ความไร้น้ำยาของอนุทินในฐานะ ผอ.โรงพยาบาลมีเยอะนอกเหนือจากนั้น คือ “ไม่ใช่หมอ และไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรับวิกฤตแบบนี้

...เสี่ยหนูจึงออกอาการ เป๋ และหลายครั้งดูจะตัดสินใจไม่ทันการณ์ หลายเรื่องยึกยักไปมา และหลายเรื่องก็ไม่กล้าตัดสินใจ” หน้าเฟชบุ๊ค ‘gossipsasook’ วิเคราะห์เจาะไช หลังจากที่ก่อนหน้านิดนึงเพจเดียวกันนี้ แทงไม่ยั้งไปแล้ว

เขาว่าถึงสถานการณ์หน้ากากอนามัยขาดแคลนบนท้องตลาด รัฐบาลประกาศจะมีแจกเป็นแสนๆ อัน แต่เวลานี้แย่งกันซื้อยื้อกันขายจ้าละหวั่น แล้วยัง “สาธารณสุขบอกไม่มีหน้าที่จัดหาหน้ากาก” หากมีปัญหาให้ไปติดต่อกระทรวงพาณิชย์

พาณิชย์เป็นผู้ควบคุมโรงงานผลิตหน้ากากที่ยังเดือนเครื่องจักรกันอยู่ทุกวัน กอสซิพสาสุขถามว่า “เมื่อโรงงานยังคงผลิตหน้ากากตามปกติ หน้ากาก เป็นสินค้าควบคุม ห้ามกักตุน ห้ามโก่งราคา และห้ามส่งออก แล้วสุดท้าย หน้ากากที่หมุนเวียนในระบบนั้นหายไปไหน”

เขาตอบเองว่า “หากรัฐบาลไม่สามารถตรวจสอบเส้นทางได้ ก็แปลว่ามีคนใกล้ๆ ตัว ที่รวยจากการกักตุน และนำไปขายในล็อตใหญ่เอากำไรส่วนต่างเข้ากระเป๋า” ตามที่เขาตั้งข้อสังเกตุ
 
“ตลอด ๑ เดือนที่ผ่านมา มีกระบวนการ จัดซื้อ หน้ากากล็อตใหญ่จากโรงงานของ พ่อค้าคนกลาง ผู้ใกล้ชิดกับรัฐบาล หรือใกล้ชิดกับพรรคการเมืองพรรคไหนหรือไม่”


เห็นภาพกันไหม ว่าที่อาการยึกยักชักกะตุกเกิดขึ้นในมาตรการรับมือไข้หวัดไวรัส โควิด๑๙นี้นั้นพันพัวตุงนังกับ ๓ พรรคการเมืองในรัฐบาล คสช.ภาคพิสดารอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขชุดนี้

อนุทินคุมสาธารณสุขและองค์การเภสัชฯ ที่กำลังวุ่นน่าดู อยู่พรรคภูมิใจไทย “มีปัญหากับการรับมือในสถานการณ์วิกฤต คำพูดของอนุทิน ไม่เคยสร้างความเชื่อมั่นได้กับทั้งข้าราชการระดับน้อยใหญ่ของกระทรวง และกับประชาชนทั่วไป”

จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ พรรคประชาธิปัตย์ รมว.พาณิชย์ “ยืนยันว่าหน้ากากไม่ขาด กำลังการผลิตยังปกติ และมีเหลือเฟือในสต็อก” แต่ถูกชาวบ้านโวยขายหน้ากากแพงโลด ชิ้นละ ๒.๕๐ บาท ทั้งที่องค์การเภสัชฯ ขายแค่ชิ้นละบาทเดียว

พลังประชารัฐ ที่แนบสนิทเป็นพรรค เจ้าสัว กลับบอกว่ากำลังจะตั้งโรงงานผลิตหน้ากากแจกฟรีเดือนละ ๓ ล้านชิ้น ขณะที่ รมว.คลังในค่ายประชารัฐกำลังเตรียมแจกเงินประชากรอีกคนละ ๑-๒ พันบาท เอาไปช้อปช่วยแก้ปัญหา COVID19

ถ้าสามพรรค ๓ กระทรวงที่ทั้งกักตุนทั้งเร่งผลิต เกิดตัดใจปล่อยหน้ากากอนามัยของตนออกสู่ตลาดอย่างเสรีพร้อมกัน มิเป็นปัญหาหน้ากากล้นตลาดอีกละหรือ