ใช่เลย ตามนั้น ดั่งที่ จาตุรนต์ ฉายแสง
ว่า “ห้ามชุมนุมเพื่อคุมไวรัส เพทุบายตื้นๆ เพื่อเอาใจนาย” เมื่อ รมว.สาธารณสุข ‘ชง’ ให้นำ พรบ.รักษาความมั่นคงภายใน พ.ศ.๒๕๕๑ มาใช้
“ควบคุมไม่ให้เกิดการชุมนุม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรค”
อนุทิน ชาญวีรกูล แจงว่า “เราได้แสดงความกังวลไปยังหน่วยงานต่างๆ
ที่เกี่ยวข้อง” และแจ้งนาย “ได้เรียนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง
ว่าหากจะมีคำสั่งออกมาอย่างไร
ตามกฎหมายที่แต่ละฝ่ายมีอำนาจอยู่ก็สามารถดำเนินการได้” รองนายกฯ
ยังโชว์พาวเวอร์กลายๆ นิ่มๆ “ทำได้เพียงแค่แจ้งเตือนและขอความร่วมมือ ถ้าห้ามได้ตนก็ห้ามแล้ว แต่ทั้งนี้อย่าให้ถึงขนาดต้องบังคับ เพราะหากไม่ยอมก็จะเป็นเรื่องขึ้นมา”
แต่ว่าการชุมนุม #คืนสู่เหย้าไม่เอาไอโอชา
ก็เกิดขึ้นที่ ม.เกษตรฯ บางเขน อย่างคึกคักและเรียบร้อย คนนับพันๆ
ไม่เฉพาะนักเรียนนักศึกษาไปร่วมกันอย่างหนักแน่น เช่นที่ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งแนะให้สังเกตุคำพูดของนักศึกษา
ว่าการออกมาชุมนุมกัน “ไม่ใช่เพื่อธนาธร
แต่ต้องการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ถามว่าการชุมนุมจะนำไปสู่ความรุนแรงไหม ทุกคนตอบว่าประวัติศาสตร์บอกชัดเจน
ว่าความรุนแรงเกิดจากอำนาจรัฐไม่ใช่เพราะพวกเรา” ซึ่งท่าทีของอนุทินเป็นไปทางนั้น
มีนักวิชาการฟากประชาธิปไตยหลายคนยอมรับว่านึกไม่ถึงในการจุติใหม่ของพลังคนหนุ่มสาว
คำอธิบายของ อจ.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี คงจะทำให้เข้าใจได้มากขึ้นว่า “นักศึกษาแต่ละคนเป็นผู้ใหญ่มากๆ
อย่างน่าทึ่ง และน่าภาคภูมิใจ
ทุกคนตอบตรงกันว่า เรื่องนี้
ไม่ใช่เรื่องถูก ‘ปลุกปั่น’ ชั่วข้ามคืน
พวกเขาทนกับการถูกกดขี่และความอยุติธรรมมาหลายปี บางแห่งเช่นธรรมศาสตร์
นศ.ทำงานเคลื่อนไหวมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่การยุบพรรคอนาคตใหม่ เป็น ‘ฟางเส้นสุดท้าย’
...ที่ทำให้ความอดทนของพวกเขาสิ้นสุดลง พวกเขาไม่ใช่เพียงมีความคิดเป็นของตัวเอง
แต่ยังศึกษาและเรียนรู้ประวัติศาสตร์ต่างๆ อย่างมีข้อมูลรอบด้าน...ตอนนี้ดูเหมือนข้อเสนอจะมีความชัดเจน
และแหลมคมขึ้น
ซึ่งก็คือ การเรียกร้องให้มีการ ‘แก้ไขรัฐธรรมนูญ’
...พวกเขาต้องการรัฐธรรมนูญใหม่
ที่ประชาชนเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง ป.ล.ส่วนคุณประยุทธ์
ไม่ต้องมาทำเป็นห่วงอนาคตของคนหนุ่มสาวหรอกค่ะ ห่วงอนาคตตัวเองเหอะ”
เพราะเวลานี้ประยุทธ์อยู่ในจุดที่ ‘เรืองอำนาจ’ มาก ประดาลิ่วล้อที่เป็นนักการเมืองฉ้อฉลต่างเสนอหน้าช่วยพาบิ๊กๆ
ทั้งหลายลงเหว ไม่ว่าจะเป็นอนุทิน สิระ หรือรวมทั้ง ‘สหายแสง’
คนเหล่านี้กำลังฮึกเหิมทำ ‘ระยำตำบอน’ กันอย่างครื้นเครงในนาม ‘บิ๊กตู่’
จนรอยปริเริ่มปรากฏแล้วในเครือข่ายของการสืบทอดอำนาจเผด็จการ
สุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.อุดมศึกษา และรองหัวหน้าพรรค ‘สมคิดตั้ง ตู่เต้า’ ต้องออกมาบ่น เนื่องจากตนกำลังจากถูกพวกที่
เล่นการเมืองแบบเดิมๆ ในหมู่ลิ่วล้อ คสช.เตะออกจากวงจร
“ขณะนี้ประเทศไทยกำลังประสบปัญหาวิกฤติเชิงซ้อน
นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีต้องมี ‘ความรู้
ความสามารถ และมีปัญญา’ นำพาประเทศไปข้างหน้า
แก้ปัญหาภายในและยืนหยัดแข่งกับโลกภายนอกให้ได้” เขาใช้คราบนักวิชาการเหน็บนาย
“ประเทศไทยคงไม่มีทางหลุดจากวงจรอุบาทว์ทางการเมืองที่สร้างปัญหาซ้ำซากแบบเดิมที่ยังปรากฎอยู่ทุกวันนี้ได้”
ถ้าไม่ “ช่วยกันพลิกโฉมการเมืองแบบใหม่กันเถอะครับ
ประเทศไทยรอการพัฒนาอีกหลายอย่าง” อย่างแรกและสำคัญสำหรับเขาก็คือ
“นักการเมืองแบบเดิมๆ บางคนนี่ละครับควรต้องรีบพัฒนา” ไม่งั้น “จะเป็นตัวอย่างให้คนรุ่นใหม่ได้อย่างไร” เอ้านี่
เขาสวนทางมาเข้าข้าง ‘คนรุ่นใหม่’ แล้วหรือ
ถ้างั้นต้องพูดแบบเดิมๆ เหมือน ปิยบุตร
แสงกนกกุล ที่ไปให้เบื้องลึกของการที่ถูก
ตลก.รัฐธรรมนูญรวบรัดยุบพรรคและตัดสิทธิทางการเมืองยาวนาน ๑ ทศวรรษ กับสื่อ ‘สลิ่ม’ (ขออภัยยังชอบใช้คำนี้ด้วยเหตุผลเดียวกับ Pavin
Chachavalpongpun แกว่าไรไปหาอ่านกันเอง) อย่าง
‘ไทยโพสต์’
นอกจากที่เผยว่าได้รับข้อเสนอให้ตนเองและธนาธรไปพักผ่อน
และทำธุรกิจสักสี่ห้าปีแล้วจะไม่โดนยำด้วยยี่สิบกว่าคดีแล้ว เขา “จะอยู่สู้ต่อไป
เพื่อให้เห็นการเปลี่ยนแปลง” แล้วยังบอกผ่านไปถึง “คนที่ครองอำนาจ
มองเรื่องนี้ให้ออกว่าอะไรเป็นอะไรแล้วค่อยๆ เปลี่ยนด้วยกัน
อย่าใช้วิธีการ กด-ทับ-ปราบ ไม่มีประโยชน์
เพราะทำมาแล้วหลายครั้งในอดีต ก็ไม่สำเร็จ ต้องยอมรับความจริงว่ามีคนใหม่
มีความคิดใหม่ๆ เกิดขึ้น แล้วต้องอยู่กับมันให้ได้...ถ้าคิดอย่างเดียวว่าจะรวบหมด
มันจะพาไปสู่ทางตัน”