วันอังคาร, มีนาคม 17, 2563

"ประเทศไทยต้องชนะครับ" สองหมัดกำสวมธำมรงค์อร่าม ทีท่าน่าเกรงขามพร้อมต่อสู้ แต่หน้าม่อยตาโรยระโหยดู



ซีดโทรม
%%%
สองหมัดกำสวมธำมรงค์อร่าม
ทีท่าน่าเกรงขามพร้อมต่อสู้
แต่หน้าม่อยตาโรยระโหยดู
มาดลุงตู่ฝืนท้อป้อแป้นัก
..


ภาพจาก Kasian Tejapira

นิยายไทยว่าระยะสอง
นิยายโลกมองระยะสาม
ไวรัสเจอพี่ไทยไม่อาจลาม
คุมโรคด้วยนิยามตามแบบไทย
...

วันนี้ (16 มี.ค.) นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า ในการประชุมศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ประชุมเห็นตรงกัน ว่า แม้จะเตือนมาเป็นระยะว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 แบ่งออกเป็นระยะหรือขั้นตอนต่างๆ และเป็นที่รับรู้กันทั่วไปว่าขณะนี้ มาอยู่ในขั้นตอนที่ 2 ที่ประชุมยังยืนยันว่าเรายังอยู่ในขั้นตอนที่ 2 ยังไม่ไปสู่ขั้นตอนที่ 3 หรือระยะที่ 3

ที่เป็นเช่นนี้เพราะมีเหตุผลทางปฏิบัติและทางวิชาการ ว่า ที่เรียกว่า ขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 และ ขั้นที่ 3 นั้น ไม่ได้มีใครที่ไหนในโลกเป็นคนมากำหนด หรือตั้งกฎเกณฑ์ เรามากำหนดกฎเกณฑ์เองในประเทศไทยว่าขณะไหน เพื่อให้บริหารจัดการง่าย เราเรียกว่า ขั้นที่ 1 ในระดับไหนเป็นขั้นที่ 2 ระดับใดเป็นขั้นที่ 3

คือ มีนิยามหรือ Definition ของตัวเองอยู่ว่า ขั้นที่ 3 นั้น เราจะใช้หรือประกาศ ต่อเมื่อปรากฏว่า มีประชาชนชาวไทยรับเชื้อหรือติดต่อโรคกันเอง โดยสืบสาวราวเรื่องไม่ปรากฏว่าต้นตอนั้นมาจากประเทศที่เขาแพร่เชื้ออยู่ก่อน เป็นการมาติดต่อกันในหมู่คนไทยในประเทศไทย ที่ยังไม่พบว่าผู้แพร่เชื้อนั้นได้เดินทางมาจากต่างประเทศ

“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของโรคว่า เป็นเรื่องของนาย ก. ติดต่อกับนาย ข. นาย ค. นาย ง. แล้วไปถึงนาย จ. นาย ฉ. นั่นเป็นเกณฑ์ที่เราจะเอาใช้วัดว่าเป็นระยะที่ 3”

อีกประการหนึ่ง เกณฑ์ยังมีอีกด้วยว่า จะต้องปรากฏการติดต่อแพร่เชื้ออย่างนี้เป็นจำนวนมาก ไม่ใช่ปรากฏเพียงรายสองราย และตัวชี้วัดที่ 3 ของการที่จะบอกว่าเป็นระดับที่ 3 ก็คือ การที่ปรากฏอย่างนี้หลากหลายพื้นที่ เช่น ที่ตรงโน้นบ้าง ตรงนี้บ้าง อำเภอนั้น จังหวัดนี้ ถ้าอย่างนั้นแปลว่า คับขันเกินกว่าที่จะให้มันคงอยู่ในระดับที่ 2 ได้แล้ว เพราะต้องการวิธีปฏิบัติ วิธัรักษา วิธีเตรียมตัว วิธีรับมืออีกอย่างหนึ่ง

“เมื่อใช้เกณฑ์อย่างนี้ บัดนี้จึงยังไม่เข้าสู่ภาวะระยะที่ 3 ยังเป็นระยะที่ 2 ซึ่งก็ต้องย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า มันเป็นเกณฑ์ที่เราตั้งขึ้นเอง จีนก็ดี องค์การอนามัยโลกก็ดี สหรัฐอเมริกาก็ดี เขาไม่ได้มีเกณฑ์ และไม่ได้แบ่งแยกออกเป็นเฟส 1 เฟส 2 เฟส 3 แต่ประการใด”

ที่เรามาเรียกอย่างนี้เพราะว่าเราเคยชินกับกรณีของการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ตามพระราชบัญญัติอีกฉบับหนึ่งของกระทรวงมหาดไทย เมื่อมีสถานการณ์ฉุกเฉินหรือมีสถานการณ์ที่เป็น “ภัยฝ่ายพลเรือน” กระทรวงมหาดไทย ก็จะออกคำเตือนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดว่า เป็นระยะที่ 1 เป็นระยะ 2 ระยะ 3 นั่นเป็นภัยสาธารณะที่มิใช่โรคติดต่อ

หนังสือกระทรวงมหาดไทยที่แจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด ว่า ขณะนี้เข้าสู่ระยะที่ 3 นั่นเป็นเลข 3 ในความหมายของกฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ไม่ใช่เป็นเลข 3 ในความหมายของพระราชบัญญัติโรคติดต่อ และไม่ใช่เป็นเรื่องที่กระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศ

ตรงนั้นเป็นความสะดวกแก่ผู้ว่าฯ ที่จะจัดการ เพราะผู้ว่าฯ จะมีอำนาจต่างกัน แต่ในกรณีของโรคระบาดโควิด-19 ยังไม่ไปถึงขั้นนั้น แม้กระนั้นคณะกรรมการประชุมกันในวันนี้ก็เห็นว่า จำเป็นที่จะต้องเตรียมตัวรับมือ มิฉะนั้น จะเกิดความประมาท และเกิดความรู้สึกว่ารัฐไม่ได้เตรียมการในสิ่งใดอย่างเพียงพอ

รายงานข่าวเพิ่มเติมระบุว่า สำหรับระยะการระบาดของโรคโควิด-19 แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 เป็นผู้ป่วยที่เดินทางจากประเทศต้นตอการระบาดครั้งแรก แล้วพบเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย โดยไม่พบการติดเชื้อด้วยกันเองในประเทศ เช่น เมื่อวันที่ 13 ม.ค. พบผู้ป่วยรายแรกจากชาวจีนที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย สาธารณรัฐประชาชนจีน

ระยะที่ 2 มีการติดเชื้อจากคนสู่คนภายในประเทศไทย โดยที่ผู้ติดเชื้อยังอยู่ในประเทศไทย ไม่เคยมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง และสามารถสืบต้นตอได้ว่าติดเชื้อมาจากใคร เช่น เมื่อวันที่ 30 ม.ค. พบผู้ป่วยเป็นโชเฟอร์แท็กซี่ ที่ติดเชื้อจากผู้โดยสารชาวจีน แต่ปัจจุบันได้รับการรักษาจนหายขาดแล้ว

ระยะที่ 3 มีการติดเชื้อจากคนสู่คนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และติดต่อกันเป็นวงกว้าง โดยไม่ทราบว่าใครติดจากใคร หรือแหล่งใดอย่างชัดเจน คล้ายกับกรณีที่เกิดขึ้นในประเทศเกาหลีใต้